โรคหัด สัญญาณเตือนและวิธีดูแลที่ถูกต้อง
“โรคหัด” หรือ ไข้ออกผื่น ผู้ใหญ่ที่หลายคนคุ้นหู คือ โรคที่เราอาจคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า จะพบได้เฉพาะในเด็กเท่านั้น แต่ในผู้ใหญ่เอง ก็สามารถเป็นโรคหัดได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ซึ่งโรคหัดจัดอยู่ในภาวะที่ทั่วโลกต่างเฝ้าระวัง เพราะสามารถติดต่อแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตามรายงานของกรมควบคุมโรค รายงาน สถานการณ์ โรคหัด ในประเทศไทย ตั้งแต่ 1 มกราคม – 19 เมษายน 2566 พบผู้ป่วย 79 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.12 ต่อแสนประชากร อีกทั้งภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด ยังอาจเป็นอันตรายจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ด้วย ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องโรคหัดหรือออกหัด รักษายังไง และรู้จักจัดการป้องกันตัวเอง ให้ห่างไกลจากโรคหัดกัน
1. โรคหัด คืออะไร อันตรายแค่ไหน
2. สาเหตุของโรคหัด ที่ต้องระวัง
3. อาการแบบไหนที่บอกว่าเป็น โรคหัด
4. วิธีป้องกันให้ห่างไกล โรคหัด
1. โรคหัด คืออะไร อันตรายแค่ไหน
โรคหัด เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายมาก ผ่านทางลมหายใจจากการไอหรือจามของผู้ป่วย โรคนี้มักพบในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้เช่นกัน
โรคหัดอันตรายแค่ไหน?
ถึงแม้โรคหัด จะเป็นโรคที่ค่อนข้างพบเห็นได้บ่อยในเด็กเล็ก แต่ก็ยังคงเป็นโรคที่ควรระวังและให้ความสำคัญ เพราะ โรคหัดนั้นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาอาจอันตรายได้ ดังนี้
- ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โรคหัดสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
- ความเสี่ยงในกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคหัด
- การแพร่ระบาดง่าย โรคหัดติดต่อได้ง่ายผ่านทางละอองจากการไอหรือจาม ทำให้แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
- อันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อหัด อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เช่น คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย หรือมีความผิดปกติทางร่างกาย
2. สาเหตุของโรคหัด ที่ต้องระวัง
โรคหัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Measles virus ซึ่งเป็นไวรัส RNA ไวรัสชนิดนี้จะแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่ายมาก โดยเฉพาะผ่านทาง
- ละอองจากการไอหรือจามของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยโรคหัดไอหรือจาม ละอองฝอยที่ออกมา จะมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ หากคนอื่นสูดหายใจเข้าไปก็จะติดเชื้อได้
- การสัมผัสโดยตรง การสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสหัด ก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้
ง่าย ๆ เลยคือ โรคหัดติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง ผ่านทางการหายใจเอาเชื้อเข้าไป หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งไวรัสหัดจะสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและกว้างขวาง โดยผู้ป่วย 1 คน สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ๆ ได้ถึง 15 คนเลยทีเดียว
3. อาการแบบไหนที่บอกว่าเป็น โรคหัด
โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส Measles และมีอาการที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยทั่วไปอาการของโรคหัดจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก คือ
1. ระยะก่อนมีผื่น (Prodromal phase)
- ไข้สูง ไข้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจมีไข้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส
- อาการทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอแห้งๆ ตาแดงและไวต่อแสง
- จุดค็อปลิค (Koplik's spots) เป็นจุดเล็ก ๆ สีขาวอมเทา มีขอบสีแดง พบในช่องปาก บริเวณเยื่อบุแก้มตรงข้ามกับฟันกรามใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัด
2. ระยะมีผื่น (Exanthematous phase)
- ผื่น หลังจากมีไข้ประมาณ 3-4 วัน จะเริ่มมีผื่นขึ้นที่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหลังหู จากนั้นจะลามลงมาตามลำตัว แขน ขา และเท้า ผื่นจะมีลักษณะเป็นปื้นแดง ๆ คล้าย ๆ กับผื่นลมพิษ
- อาการอื่น ๆ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดกล้ามเนื้อ
โรคหัดจะมีระยะเวลาของโรค ซึ่งโดยทั่วไปอาการของโรคหัดจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่อาจเกิดขึ้น
- ปอดอักเสบ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
- สมองอักเสบ อาจทำให้เกิดความพิการทางสมอง หรือเสียชีวิต
- หูชั้นกลางอักเสบ อาจทำให้ได้ยินเสียงน้อยลง หรือสูญเสียการได้ยิน
- โรคทางเดินอาหาร อาจมีอาการท้องเสียรุนแรง
อาการของโรคหัดที่ควรพบแพทย์โดยด่วน
หากคุณหรือบุตรหลานมีอาการของโรคหัด และมีอาการใดอาการหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- หายใจลำบาก มีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก หอบ หรือหายใจมีเสียงหวีด
- ซึม รู้สึกง่วงซึม ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง
- ชัก มีอาการเกร็งตัว ชักกระตุก
- ไข้สูงไม่ลด ไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส และไม่ลดลงแม้จะใช้ยาลดไข้
- ผื่นมีลักษณะผิดปกติ ผื่นมีสีซีดลง หรือมีจุดเลือดออกปะปน
- มีอาการของการติดเชื้อรุนแรง เช่น มีหนองไหลจากหู ตาแดงมาก มีน้ำเหลืองไหลออกจากหู
อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงของโรคหัด เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิตได้
4. วิธีป้องกันให้ห่างไกล โรคหัด
เพราะโรคหัดเป็นโรคติดเชื้อที่อันตราย และสามารถป้องกันได้ดีที่สุดด้วยการ ฉีดวัคซีน นอกจากนี้ยังมีวิธีป้องกันอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อีก ดังนี้
1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด
- วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมที่ป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม
- กำหนดการฉีด ตามหลักการทั่วไป เด็กจะได้รับวัคซีน MMR 2 เข็ม โดยเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2.5 ปี
- ประสิทธิภาพ วัคซีน MMR มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหัดสูงมาก ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย
- รักษาระยะห่าง หากพบว่ามีผู้ป่วยโรคหัดในบริเวณใกล้เคียง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด
- สวมหน้ากากอนามัย การสวมหน้ากากอนามัย สามารถช่วยลดความเสี่ยง ในการสูดหายใจเอาเชื้อไวรัสเข้าไปได้
- ล้างมือบ่อย ๆ ใช้สบู่และน้ำสะอาดล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่อาจปนเปื้อนเชื้อ
3. ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
- ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
- ทำความสะอาดบ้านเรือน หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสบ่อย เพื่อลดปริมาณเชื้อโรค
4. รับวัคซีนกระตุ้น
- สำหรับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีน MMR ครบตามกำหนดหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับวัคซีนกระตุ้น
- กลุ่มเสี่ยง บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคหัด หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรได้รับวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำ
การป้องกันโรคหัดเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากโรคนี้สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด แต่หากอยากเพิ่มความอุ่นใจ เจ็บป่วยตอนไหนมีตัวช่วยเรื่องค่ารักษา ก็สามารถวางแผนเสริมความมั่นใจด้วย ประกันสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต #เพราะชีวิตทุกวัยมันเจ็บป่วย ป่วยเล็กป่วยใหญ่ ช่วงวัยไหนก็ป่วยได้ไม่ช็อตฟีล
ปล่อยจอยค่ารักษาเพราะมีประกันสุขภาพดูแลให้แบบเหมา ๆ ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท
✅ Elite Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 20-100 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการรักษา ดูแลให้ทั้ง IPD และ OPD(1) เบี้ยวันละไม่ถึง 157 บาท(2)
✅ D Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 5 ล้านบาท(3) นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานทุก รพ. เบี้ยวันละไม่ถึง 38 บาท(4)
✅ เหมาจ่าย Extra แอดมิตเข้า รพ. ดูแลค่ารักษาเหมาจ่าย 5 แสนบาท(5) เบี้ยวันละไม่ถึง 42 บาท(6)
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
(1) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 40, 75 หรือ 100 ล้านบาท
(2) สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุ 50 ปี แผน 20 ล้านบาท พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(3) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 5 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
(4) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท มีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาท ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (แผน Top Up ความคุ้มครอง) และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(5) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 3 โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
(6) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 3 และชำระเบี้ยประกันรายปี
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่
- ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
- เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด
- การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 04/11/67