Loading...

กำลังโหลดหน้าเว็บไซต์
รอสักครู่น้า Loading...

เท้าบวมหายได้! รู้สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ที่ได้ผลจริง

เท้าบวมหายได้! รู้สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ที่ได้ผลจริง

เคยรู้สึกไหมว่ารองเท้าที่เคยใส่สบาย กลับแน่นขึ้นมาเฉย ๆ หรือสังเกตเห็นว่าเท้าบวมขึ้น ข้อเท้าดูใหญ่กว่าปกติ? ซึ่งวันนี้เราจะพามาเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ วิธีแก้เท้าบวม พร้อมวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม และตอบข้อสงสัยยอดฮิต เช่น อยู่ดี ๆ เท้าบวมเกิดจากอะไร, เท้าบวมแช่น้ำอะไร ได้บ้าง, อาการเท้าบวมในผู้สูงอายุเกิดจากอะไรได้บ้าง, เท้าบวมมีกี่แบบ และสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่า เท้าบวมแบบไหนต้องไปหาหมอ ซึ่งการรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการ และทำให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายเท้ามากยิ่งขึ้น ตามมาดูกันเลย


ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ


1. เท้าบวมเกิดจากอะไร? สาเหตุที่ต้องรู้

2. เท้าบวมมีกี่แบบ? พร้อมวิธีสังเกตเบื้องต้น

3. วิธีแก้เท้าบวมด้วยตัวเอง

4. อาการเท้าบวมในผู้สูงอายุเกิดจากอะไร



เท้าบวมเกิดจากอะไร? 


1. เท้าบวมเกิดจากอะไร? สาเหตุที่ต้องรู้


อาการเท้าบวมไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างในร่างกายของเรา ลองมาดูกันว่า มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เท้าของเราบวมขึ้นมาได้


1. การยืนหรือนั่งนาน ๆ เมื่อเราอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน แรงโน้มถ่วงจะดึงของเหลวในร่างกายลงไปสะสมที่บริเวณเท้าและข้อเท้า ทำให้เกิดอาการบวมได้ อาการนี้เจอบ่อยในพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานทั้งวัน หรือผู้ที่ต้องยืนปฏิบัติงานเป็นเวลานาน


2. การบาดเจ็บ การบาดเจ็บที่เท้าหรือข้อเท้า เช่น ข้อเท้าแพลง กล้ามเนื้อฉีกขาด หรือกระดูกหัก จะทำให้เกิดการอักเสบและมีของเหลวไหลมาบริเวณที่บาดเจ็บ ส่งผลให้เท้าบวม มักมีอาการปวด บวม แดง และอาจมีรอยช้ำร่วมด้วย


3. การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง โซเดียมจะกักเก็บน้ำในร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ รวมถึงเท้าได้


4. น้ำหนักตัวมากเกินไป น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มแรงกดทับบนเท้าและขา ทำให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่สะดวก


5. ภาวะตั้งครรภ์ ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นยังอาจไปกดทับเส้นเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก เกิดอาการเท้าบวมได้ง่าย และหากมีอาการบวมร่วมกับความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์ทันที


6. โรคประจำตัวบางชนิด


  • โรคไต ไตมีหน้าที่กรองของเสียและควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย หากไตทำงานผิดปกติ อาจทำให้มีของเหลวคั่งค้างในร่างกาย จนเกิดอาการบวมที่เท้าและส่วนอื่น ๆ
  • โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกและเกิดการบวมได้
  • โรคตับ โรคตับบางชนิดอาจทำให้ระดับโปรตีนในเลือดต่ำลง ส่งผลให้ของเหลวรั่วไหลออกจากหลอดเลือดและเกิดอาการบวม
  • โรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีการไหลเวียนโลหิตไม่ดี หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการบวมที่เท้าได้
  • โรคต่อมไทรอยด์ ภาวะไทรอยด์ต่ำอาจทำให้เกิดอาการบวมได้เช่นกัน


7. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้ปวดบางประเภท ยารักษาความดันโลหิตบางชนิด หรือยาสเตียรอยด์ อาจทำให้เกิดอาการเท้าบวมเป็นผลข้างเคียงได้


8. การติดเชื้อ การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณเท้า (Cellulitis) อาจทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน และปวดได้


วิธีสังเกตอาการเท้าบวมเบื้องต้น


  • กดแล้วบุ๋ม ลองใช้นิ้วมือกดลงบนบริเวณที่บวม หากปล่อยแล้วยังมีรอยบุ๋มอยู่สักพัก แสดงว่าเป็นอาการบวมจากของเหลวคั่งค้าง
  • รองเท้าคับขึ้น สังเกตว่ารองเท้าที่เคยใส่สบาย เริ่มรู้สึกแน่นขึ้นในช่วงเย็น หรือหลังจากการทำกิจกรรม
  • ข้อเท้าดูใหญ่ขึ้น เปรียบเทียบขนาดของข้อเท้าทั้งสองข้าง หากข้างใดข้างหนึ่งดูใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นสัญญาณของอาการบวม
  • ผิวหนังตึง บริเวณที่บวมอาจมีผิวหนังที่ตึงและเงา


เท้าบวมแบบไหนต้องไปหาหมอ? สัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม


แม้ว่าอาการเท้าบวมส่วนใหญ่ จะสามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม 


  • เท้าบวมอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของภาวะร้ายแรง เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน
  • เท้าบวมข้างเดียว อาจบ่งชี้ถึงการบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน
  • มีอาการเจ็บปวด บวม แดง และร้อน อาจเป็นการติดเชื้อ หรือภาวะอักเสบ
  • มีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือเวียนศีรษะร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ หรือเบาหวาน และมีอาการเท้าบวมเกิดขึ้น



 เท้าบวมมีกี่แบบ?


2. เท้าบวมมีกี่แบบ? พร้อมวิธีสังเกตเบื้องต้น


ใครที่เคยมีอาการ "เท้าบวม" คงทราบดีถึงความรู้สึกไม่สบายตัว อึดอัด และอาจทำให้การเดินลำบาก แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเท้าบวมนั้นไม่ได้มีแค่แบบเดียว? การทำความเข้าใจว่า เท้าบวมมีกี่แบบ และแต่ละแบบมีลักษณะอย่างไร จะช่วยให้เราสังเกตอาการเบื้องต้นและอาจเป็นประโยชน์ในการสื่อสารกับแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งชนิดของเท้าบวมตามลักษณะและสาเหตุหลักๆ ได้ดังนี้


1. เท้าบวมจากภาวะคั่งของเหลว (Edema)


เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการมีของเหลวส่วนเกินสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อบริเวณเท้าและข้อเท้า เมื่อกดลงไปบริเวณที่บวม มักจะเกิดรอยบุ๋มค้างอยู่สักพัก (Pitting Edema) ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้


  • การยืนหรือนั่งนาน ๆ แรงโน้มถ่วงดึงของเหลวลงมาสะสม
  • หลอดเลือดดำทำงานไม่ดี (Venous Insufficiency) เลือดไหลกลับไม่สะดวก
  • หัวใจล้มเหลว การสูบฉีดเลือดไม่ดี ทำให้ของเหลวคั่งค้าง
  • โรคไต ไตทำงานผิดปกติ ไม่สามารถควบคุมสมดุลของเหลวได้
  • โรคตับ ระดับโปรตีนในเลือดต่ำ ทำให้ของเหลวรั่วไหล
  • ภาวะตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและปริมาณเลือด
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด


2. เท้าบวมจากการอักเสบ (Inflammatory Edema)


จะมีลักษณะที่สังเกตได้ง่าย คือ เท้าจะบวม แดง ร้อน และมีอาการปวดร่วมด้วย เมื่อกดอาจจะไม่เกิดรอยบุ๋มชัดเจนเหมือนภาวะคั่งของเหลว โดยมีสาเหตุมาจาก


  • การบาดเจ็บ ข้อเท้าแพลง กล้ามเนื้อฉีกขาด
  • การติดเชื้อ (Cellulitis) การอักเสบของผิวหนังและเนื้อเยื่อ
  • โรคข้ออักเสบ (Arthritis) การอักเสบของข้อต่อ เช่น เกาต์ รูมาตอยด์
  • การแพ้ (Allergy) การแพ้สารบางชนิดอาจทำให้เกิดการอักเสบและบวม


3. เท้าบวมจากระบบน้ำเหลืองอุดตัน (Lymphedema)


เท้าและข้อเท้าจะบวมแข็ง ไม่ค่อยมีรอยบุ๋มเมื่อกด ผิวหนังอาจดูหนาขึ้นและมีลักษณะคล้ายเปลือกส้ม มักเป็นอาการบวมเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก


  • ความผิดปกติของระบบน้ำเหลืองตั้งแต่เกิด
  • การผ่าตัดหรือการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็ง ที่ส่งผลต่อต่อมน้ำเหลือง
  • การติดเชื้อในระบบน้ำเหลือง



วิธีแก้เท้าบวมด้วยตัวเอง


3. วิธีแก้เท้าบวมด้วยตัวเอง


อาการเท้าบวมส่วนใหญ่ สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน เราจะพาคุณไปพบกับหลากหลาย วิธีแก้เท้าบวม ที่จะช่วยให้กลับมาสบายเท้า พร้อมลุยทุกกิจกรรมได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง! มาดูกันเลย ว่ามีอะไรบ้าง


1. ยกเท้าให้สูง การยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจจะช่วยให้ของเหลวที่คั่งค้างบริเวณเท้าไหลเวียนกลับเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
วิธีทำ หาหมอนหรือเก้าอี้มาวาง แล้วเหยียดขาพาดขึ้นไป พยายามยกให้เท้าสูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเย็นหลังเลิกงานหรือทำกิจกรรมมาทั้งวัน


2. ประคบเย็น ความเย็นจะช่วยลดการอักเสบ และอาการบวมที่เกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อย หรือจากการยืนนาน ๆ
วิธีทำ ห่อน้ำแข็งด้วยผ้าขนหนู หรือใช้เจลประคบเย็น ประคบบริเวณที่บวมประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ระวังอย่าประคบเย็นโดยตรงบนผิวหนัง


3. นวดเบา ๆ การนวดเบา ๆ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ทำให้ของเหลวที่คั่งค้างเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น
วิธีทำ ใช้นิ้วมือนวดคลึงเบา ๆ จากปลายเท้าขึ้นมาบริเวณข้อเท้าและน่อง เน้นการนวดในทิศทางเดียวกับการไหลเวียนของเลือด (ขึ้นด้านบน) สามารถใช้น้ำมันนวดร่วมด้วยเพื่อความลื่น


4. ออกกำลังกายเบา ๆ การเคลื่อนไหวจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และลดการคั่งค้างของของเหลว
วิธีทำ ลองออกกำลังกายเบา ๆ ที่ไม่ลงน้ำหนักมาก เช่น การเดินช้า ๆ การหมุนข้อเท้า หรือการกระดกปลายเท้าขึ้นลง ทำซ้ำประมาณ 10-15 ครั้งต่อเซ็ต วันละ 2-3 เซ็ต

5. สวมถุงเท้าซัปพอร์ต (Compression Socks) ถุงเท้าซัปพอร์ตจะช่วยบีบรัดบริเวณเท้าและขา ทำให้หลอดเลือดดำทำงานได้ดีขึ้น ลดการคั่งค้างของของเหลว และช่วยให้เลือดไหลเวียนกลับสู่หัวใจได้สะดวกขึ้น
วิธีใช้ เลือกถุงเท้าที่มีแรงบีบรัดที่เหมาะสม และสวมใส่ในช่วงกลางวันขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ


ข้อควรจำ


  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งนาน ๆ หากจำเป็นต้องยืนหรือนั่งนาน ๆ ควรหาเวลาพักเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ และขยับเท้าบ้าง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุลของเหลวได้ดี
  • ลดการบริโภคโซเดียม อาหารที่มีโซเดียมสูงอาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าและรองเท้าที่รัดแน่น ควรเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าที่สบาย ไม่รัดจนเกินไป เพื่อให้การไหลเวียนโลหิตสะดวก


เท้าบวมแช่น้ำอะไร ช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง?


การแช่น้ำเป็นอีกหนึ่ง วิธีแก้เท้าบวม ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ซึ่งน้ำที่ใช้แช่ก็มีหลายแบบให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น


  • น้ำเย็น ช่วยลดอาการอักเสบและบวมได้อย่างรวดเร็ว สามารถเติมน้ำแข็งลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเย็นได้ แช่ประมาณ 15-20 นาที
  • น้ำอุ่น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ของเหลวที่คั่งค้างบริเวณเท้าไหลเวียนได้ดีขึ้น อาจเติมเกลือ Epsom เล็กน้อยเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แช่ประมาณ 15-20 นาที
  • น้ำสมุนไพร การแช่น้ำสมุนไพรบางชนิด เช่น น้ำขิง หรือน้ำตะไคร้ อาจช่วยลดอาการบวมและอาการปวดเมื่อยได้
  • ข้อควรระวัง หากมีบาดแผลเปิดบริเวณเท้า ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำจนกว่าแผลจะหายดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ



4. อาการเท้าบวมในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไรได้บ้าง?


อาการเท้าบวมในผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย และมีสาเหตุที่ซับซ้อนกว่าในวัยอื่น ๆ เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่


  • ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและไตลดลง ทำให้การสูบฉีดเลือดและการขับของเสียไม่เป็นปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของของเหลว
  • การไหลเวียนโลหิตไม่ดี หลอดเลือดอาจแข็งตัวหรือตีบแคบ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากขึ้น
  • การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง กล้ามเนื้อขาที่อ่อนแรงไม่สามารถช่วยในการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลข้างเคียงจากยา ผู้สูงอายุมักรับประทานยาหลายชนิด ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการบวมได้
  • ภาวะขาดโปรตีน โปรตีนในเลือดมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย การขาดโปรตีนอาจทำให้เกิดอาการบวมได้


หากผู้สูงอายุมีอาการเท้าบวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม
อาการ เท้าบวม เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและภาวะสุขภาพ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และ วิธีแก้เท้าบวม เบื้องต้น จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม หากมีอาการเท้าบวมที่ไม่ดีขึ้น หรือมีสัญญาณที่น่ากังวล ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง การดูแลสุขภาพเท้าให้ดีอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดี


และ เรื่องสำคัญที่ไม่ควรลืม คือการเริ่มเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษาไว้ล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตโรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน สามารถเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา


รายละเอียดเพิ่มเติม

☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน


  • โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย


ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 30/04/68

🔖 รพ. สมิติเวช 

🔖 HDmall

🔖 รพ. เวชธานี


สนใจแบบประกัน

ข้าพเจ้าตกลงยินยอมให้ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต เก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นของข้าพเจ้าเพื่อติดต่อข้าพเจ้าในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ ข้าพเจ้าสนใจหรือที่บริษัทฯ เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ ข้าพเจ้าได้โดยข้าพเจ้าให้ถือเอาการทำเครื่องหมาย ในช่องสี่เหลี่ยมเป็นการแสดงเจตนา ยินยอมของข้าพเจ้าแทน การลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ ก่อนการแสดงเจตนาดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าได้อ่านและรับทราบเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวแล้ว

บทความน่าสนใจ