Loading...

กำลังโหลดหน้าเว็บไซต์
รอสักครู่น้า Loading...

โรคแพนิค เมื่อความกลัวจู่โจม ทำความเข้าใจอาการและวิธีรับมือ

โรคแพนิค เมื่อความกลัวจู่โจม ทำความเข้าใจอาการและวิธีรับมือ

เคยรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะถล่ม หัวใจเต้นรัว หายใจไม่ออก ตัวสั่นไปหมดทั้งที่ไม่มีสาเหตุชัดเจนไหม? ถ้าใช่ คุณอาจกำลังประสบกับ โรคแพนิค หรือ Panic Disorder ซึ่งเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยกว่าที่คิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้และสามารถรับมือได้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของโรคแพนิค ตั้งแต่ทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร อาการที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร สาเหตุที่อาจนำไปสู่ภาวะนี้ ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยยา การบำบัดทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน  เพื่อช่วยให้คุณก้าวข้ามความกลัว และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ และมีความสุขได้


ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ


1. โรคแพนิคคืออะไร?

2. อาการของโรคแพนิคเป็นอย่างไร?

3. สาเหตุของโรคแพนิค

4. วิธีรักษาโรคแพนิค



โรคแพนิคคืออะไร?


1. โรคแพนิคคืออะไร?


โรคแพนิค (Panic Disorder) ไม่ใช่แค่ความเครียดหรือความกังวลธรรมดา แต่เป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล โดยมีลักษณะเด่นคือการเกิด อาการแพนิค (Panic Attack) ซ้ำ ๆ โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน อาการแพนิคเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงและฉับพลัน 


พร้อมด้วยอาการทางกายและทางใจที่รุนแรง จนคนรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เสียสติ หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้โรคแพนิคแตกต่างจากความกลัวทั่วไปคือ อาการมักเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และไม่ได้เกิดจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจริง ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกกลัวว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก และเริ่มหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่เคยเกิดอาการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์



อาการของโรคแพนิค


2. อาการของโรคแพนิคเป็นอย่างไร?


อาการแพนิคจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงจุดสูงสุดภายในเวลาไม่กี่นาที โดยทั่วไปจะกินเวลาประมาณ 10-20 นาที แต่อาจรู้สึกเหมือนนานกว่านั้นมาก อาการที่พบบ่อยได้แก่


อาการทางร่างกาย


  • หัวใจเต้นเร็ว แรง หรือใจสั่น รู้สึกเหมือนหัวใจจะทะลุออกมานอกอก
  • เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก บางคนคิดว่าตัวเองกำลังเป็นโรคหัวใจ
  • หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม หรือสำลัก รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ
  • วิงเวียน หน้ามืด หรือเป็นลม รู้สึกโคลงเคลง ไม่มั่นคง
  • เหงื่อออกมาก ตัวสั่น หรือมือสั่น รู้สึกหนาวสั่นหรือร้อนวูบวาบ
  • คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือท้องเสีย อาการทางระบบทางเดินอาหาร
  • ชา หรือรู้สึกซ่าตามตัว โดยเฉพาะที่มือ แขน ขา หรือรอบปาก


อาการทางจิตใจ


  • กลัวว่าจะตาย เป็นความกลัวที่รุนแรงและจับใจ
  • กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือเสียสติ รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
  • กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรง เช่น อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
  • รู้สึกไม่จริง (Derealization) รู้สึกเหมือนโลกรอบตัวไม่จริง หรืออยู่ในความฝัน
  • รู้สึกแปลกแยกจากตัวเอง (Depersonalization) รู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นตัวเอง หรือมองตัวเองจากภายนอก
  • หลังจากอาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และกังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก ซึ่งความกังวลนี้เองที่นำไปสู่พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงต่าง ๆ



สาเหตุของโรคแพนิค


3. สาเหตุของโรคแพนิค


สาเหตุที่แท้จริงของ โรคแพนิค ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และมักเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เพียงสาเหตุเดียวโดด ๆ ได้แก่


  • ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เชื่อว่าความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองบางชนิด เช่น เซโรโทนิน (Serotonin), นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) และ กาบา (GABA) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความกลัว และความวิตกกังวล มีส่วนสำคัญในการเกิดโรคแพนิค
  • พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัว โดยเฉพาะญาติสายตรง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เป็นโรคแพนิค ก็จะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป อาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • ประสบการณ์ความเครียดหรือเหตุการณ์สะเทือนใจ การเผชิญกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดรุนแรง หรื
  • เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ปัญหาทางการเงินที่รุนแรง การถูกทำร้าย หรืออุบัติเหตุ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิคได้
  • บุคลิกภาพ บางคนที่มีบุคลิกภาพอ่อนไหวง่าย ขี้กังวล หรือมีแนวโน้มที่จะคิดมากเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคแพนิคสูงกว่า
  • ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง ในบางกรณี อาการคล้ายแพนิคอาจเกิดจากโรคทางกายอื่น ๆ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งการรักษาโรคทางกายเหล่านั้นอาจช่วยให้อาการดีขึ้น
  • การใช้สารบางชนิด การใช้สารเสพติด เช่น แอมเฟตามีน หรือการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รวมถึงการได้รับคาเฟอีนมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้ในบางคน


จะเห็นได้ว่า โรคแพนิคไม่ได้มีสาเหตุมาจากความอ่อนแอทางจิตใจ แต่เป็นผลจากกลไกทางชีวภาพและปัจจัยภายนอกที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ


4. วิธีรักษาโรคแพนิค


การรักษาโรคแพนิคมีหลายวิธี โดยส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานกัน ระหว่างการใช้ยาและการบำบัดทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการ และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ


1. การรักษาด้วยยา


ยาที่ใช้ในการรักษาโรคแพนิคส่วนใหญ่เป็นยาที่ปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น


  • ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) เช่น ฟลูออกเซทีน (Fluoxetine), เซอร์ทราลีน (Sertraline) เป็นยาที่ใช้เป็นหลักในการรักษาโรคแพนิค โดยช่วยปรับสมดุลของสารเซโรโทนินในสมอง
  • ยาคลายกังวลกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) เช่น อัลปราโซแลม (Alprazolam), โคลนาซีแพม (Clonazepam) ใช้เพื่อบรรเทาอาการแพนิคเฉียบพลันอย่างรวดเร็ว แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากอาจเกิดการติดยาได้


การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ


2. การบำบัดทางจิตใจ


การบำบัดทางจิตใจเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคแพนิค โดยเฉพาะ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง


  • CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะระบุ และปรับเปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการแพนิค เช่น การตีความอาการทางกายว่ากำลังจะตาย หรือเสียสติ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วย เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความกังวลอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Exposure Therapy) เพื่อลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น
  • การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ โยคะ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดความตึงเครียดและควบคุมอาการทางกายเมื่อเกิดอาการแพนิค
  • การให้ความรู้และทำความเข้าใจโรค การที่ผู้ป่วยเข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโรค ไม่ใช่สัญญาณของความผิดปกติร้ายแรง จะช่วยลดความกังวลและทำให้รับมือกับอาการได้ดีขึ้น


3. การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม


นอกจากการรักษาจากแพทย์และนักบำบัด การดูแลตัวเองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการจัดการกับโรคแพนิค มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง


  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและปล่อยสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พออาจทำให้อาการแพนิครุนแรงขึ้น
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และสารเสพติด สารเหล่านี้สามารถกระตุ้นอาการแพนิคได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช
  • ฝึกจัดการความเครียด เช่น การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การเขียนบันทึก หรือการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
  • เข้าร่วมกลุ่มบำบัด การได้พูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์เดียวกัน สามารถช่วยให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวและได้รับกำลังใจ


โรคแพนิคเป็นภาวะที่น่ากลัวและส่งผลกระทบต่อชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือ สามารถรักษาและจัดการได้ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่เข้าข่ายโรคแพนิค อย่าลังเลที่จะปรึกษาจิตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข และเต็มศักยภาพอีกครั้ง จำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ


นอกจากการดูแลสุขภาพจิตแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะเราไม่มีวันรู้ได้ว่าจะเจ็บป่วยขึ้นมาเมื่อไร โรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน การเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษายามเจ็บป่วยไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา


รายละเอียดเพิ่มเติม

☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน


  • โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย


ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 17/06/68

🔖 รพ. พระราม 9

🔖 รพ. สินแพทย์

🔖 รพ. เปาโล



Interested In

I agree that Muang Thai Life Assurance PCL. Collect and use my personal information above to contact me to offer products and services at I am interested or the company saw that it was beneficial to I have by me to equate the mark In the square is an indication of intent. instead of my consent Signing as evidence. I have read and acknowledged the Privacy Policy.

Interesting article