โรคแพนิค เมื่อความกลัวจู่โจม ทำความเข้าใจอาการและวิธีรับมือ
เคยรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะถล่ม หัวใจเต้นรัว หายใจไม่ออก ตัวสั่นไปหมดทั้งที่ไม่มีสาเหตุชัดเจนไหม? ถ้าใช่ คุณอาจกำลังประสบกับ โรคแพนิค หรือ Panic Disorder ซึ่งเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยกว่าที่คิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้และสามารถรับมือได้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของโรคแพนิค ตั้งแต่ทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร อาการที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร สาเหตุที่อาจนำไปสู่ภาวะนี้ ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยยา การบำบัดทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้คุณก้าวข้ามความกลัว และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ และมีความสุขได้
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
2. อาการของโรคแพนิคเป็นอย่างไร?
1. โรคแพนิคคืออะไร?
โรคแพนิค (Panic Disorder) ไม่ใช่แค่ความเครียดหรือความกังวลธรรมดา แต่เป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล โดยมีลักษณะเด่นคือการเกิด อาการแพนิค (Panic Attack) ซ้ำ ๆ โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน อาการแพนิคเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงและฉับพลัน
พร้อมด้วยอาการทางกายและทางใจที่รุนแรง จนคนรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เสียสติ หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้โรคแพนิคแตกต่างจากความกลัวทั่วไปคือ อาการมักเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และไม่ได้เกิดจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจริง ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกกลัวว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก และเริ่มหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่เคยเกิดอาการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์
2. อาการของโรคแพนิคเป็นอย่างไร?
อาการแพนิคจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงจุดสูงสุดภายในเวลาไม่กี่นาที โดยทั่วไปจะกินเวลาประมาณ 10-20 นาที แต่อาจรู้สึกเหมือนนานกว่านั้นมาก อาการที่พบบ่อยได้แก่
อาการทางร่างกาย
- หัวใจเต้นเร็ว แรง หรือใจสั่น รู้สึกเหมือนหัวใจจะทะลุออกมานอกอก
- เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก บางคนคิดว่าตัวเองกำลังเป็นโรคหัวใจ
- หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม หรือสำลัก รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ
- วิงเวียน หน้ามืด หรือเป็นลม รู้สึกโคลงเคลง ไม่มั่นคง
- เหงื่อออกมาก ตัวสั่น หรือมือสั่น รู้สึกหนาวสั่นหรือร้อนวูบวาบ
- คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือท้องเสีย อาการทางระบบทางเดินอาหาร
- ชา หรือรู้สึกซ่าตามตัว โดยเฉพาะที่มือ แขน ขา หรือรอบปาก
อาการทางจิตใจ
- กลัวว่าจะตาย เป็นความกลัวที่รุนแรงและจับใจ
- กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือเสียสติ รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
- กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรง เช่น อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
- รู้สึกไม่จริง (Derealization) รู้สึกเหมือนโลกรอบตัวไม่จริง หรืออยู่ในความฝัน
- รู้สึกแปลกแยกจากตัวเอง (Depersonalization) รู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นตัวเอง หรือมองตัวเองจากภายนอก
- หลังจากอาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และกังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก ซึ่งความกังวลนี้เองที่นำไปสู่พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงต่าง ๆ
3. สาเหตุของโรคแพนิค
สาเหตุที่แท้จริงของ โรคแพนิค ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และมักเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เพียงสาเหตุเดียวโดด ๆ ได้แก่
- ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เชื่อว่าความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองบางชนิด เช่น เซโรโทนิน (Serotonin), นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) และ กาบา (GABA) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความกลัว และความวิตกกังวล มีส่วนสำคัญในการเกิดโรคแพนิค
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัว โดยเฉพาะญาติสายตรง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เป็นโรคแพนิค ก็จะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป อาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
- ประสบการณ์ความเครียดหรือเหตุการณ์สะเทือนใจ การเผชิญกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดรุนแรง หรื
- เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ปัญหาทางการเงินที่รุนแรง การถูกทำร้าย หรืออุบัติเหตุ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิคได้
- บุคลิกภาพ บางคนที่มีบุคลิกภาพอ่อนไหวง่าย ขี้กังวล หรือมีแนวโน้มที่จะคิดมากเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคแพนิคสูงกว่า
- ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง ในบางกรณี อาการคล้ายแพนิคอาจเกิดจากโรคทางกายอื่น ๆ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งการรักษาโรคทางกายเหล่านั้นอาจช่วยให้อาการดีขึ้น
- การใช้สารบางชนิด การใช้สารเสพติด เช่น แอมเฟตามีน หรือการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รวมถึงการได้รับคาเฟอีนมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้ในบางคน
จะเห็นได้ว่า โรคแพนิคไม่ได้มีสาเหตุมาจากความอ่อนแอทางจิตใจ แต่เป็นผลจากกลไกทางชีวภาพและปัจจัยภายนอกที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
4. วิธีรักษาโรคแพนิค
การรักษาโรคแพนิคมีหลายวิธี โดยส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานกัน ระหว่างการใช้ยาและการบำบัดทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการ และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
1. การรักษาด้วยยา
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคแพนิคส่วนใหญ่เป็นยาที่ปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น
- ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) เช่น ฟลูออกเซทีน (Fluoxetine), เซอร์ทราลีน (Sertraline) เป็นยาที่ใช้เป็นหลักในการรักษาโรคแพนิค โดยช่วยปรับสมดุลของสารเซโรโทนินในสมอง
- ยาคลายกังวลกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) เช่น อัลปราโซแลม (Alprazolam), โคลนาซีแพม (Clonazepam) ใช้เพื่อบรรเทาอาการแพนิคเฉียบพลันอย่างรวดเร็ว แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากอาจเกิดการติดยาได้
การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
2. การบำบัดทางจิตใจ
การบำบัดทางจิตใจเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคแพนิค โดยเฉพาะ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง
- CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะระบุ และปรับเปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการแพนิค เช่น การตีความอาการทางกายว่ากำลังจะตาย หรือเสียสติ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วย เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความกังวลอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Exposure Therapy) เพื่อลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น
- การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ โยคะ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดความตึงเครียดและควบคุมอาการทางกายเมื่อเกิดอาการแพนิค
- การให้ความรู้และทำความเข้าใจโรค การที่ผู้ป่วยเข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโรค ไม่ใช่สัญญาณของความผิดปกติร้ายแรง จะช่วยลดความกังวลและทำให้รับมือกับอาการได้ดีขึ้น
3. การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นอกจากการรักษาจากแพทย์และนักบำบัด การดูแลตัวเองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการจัดการกับโรคแพนิค มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและปล่อยสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พออาจทำให้อาการแพนิครุนแรงขึ้น
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และสารเสพติด สารเหล่านี้สามารถกระตุ้นอาการแพนิคได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ฝึกจัดการความเครียด เช่น การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การเขียนบันทึก หรือการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
- เข้าร่วมกลุ่มบำบัด การได้พูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์เดียวกัน สามารถช่วยให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวและได้รับกำลังใจ
โรคแพนิคเป็นภาวะที่น่ากลัวและส่งผลกระทบต่อชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือ สามารถรักษาและจัดการได้ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่เข้าข่ายโรคแพนิค อย่าลังเลที่จะปรึกษาจิตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข และเต็มศักยภาพอีกครั้ง จำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ
นอกจากการดูแลสุขภาพจิตแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะเราไม่มีวันรู้ได้ว่าจะเจ็บป่วยขึ้นมาเมื่อไร โรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน การเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษายามเจ็บป่วยไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 17/06/68