มะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้จัก อาการ สาเหตุ และการดูแลตัวเอง
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง... เพียงได้ยินชื่อก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและใจเสีย แต่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เราสามารถรับมือและจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตั้งแต่ทำความรู้จักกับระบบน้ำเหลือง อาการที่พบบ่อย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการคัน, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ห้ามกินอะไรบ้าง ไปจนถึงวิธีการดูแลตัวเองอย่าง เพื่อให้คุณมีความรู้และความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. ระบบน้ำเหลืองคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
2. อาการที่พบบ่อยของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
3. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
4. การดูแลตัวเองเมื่อเผชิญกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
1. ระบบน้ำเหลืองคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เรามาทำความรู้จักกับ ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System) กันก่อน ซึ่งระบบนี้เปรียบเสมือนเครือข่ายท่อและต่อมขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ
หน้าที่หลักของระบบน้ำเหลือง
- กรองและกำจัดเชื้อโรค น้ำเหลืองซึ่งเป็นของเหลวใสที่ไหลเวียนในระบบของร่างกาย จะนำพาเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ซึ่งมีหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เมื่อน้ำเหลืองไหลผ่านต่อมน้ำเหลือง ต่อมเหล่านี้จะทำหน้าที่กรองและดักจับเชื้อโรค ทำให้การติดเชื้อไม่แพร่กระจาย
- ลำเลียงของเสียและโปรตีน ระบบน้ำเหลืองช่วยลำเลียงของเสียและโปรตีนขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือดได้ กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด
- ดูดซึมไขมัน ในระบบทางเดินอาหาร ระบบน้ำเหลืองมีบทบาทในการดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมัน
ต่อมน้ำเหลือง (Lymph Nodes) คืออะไร
ต่อมน้ำเหลือง คือต่อมขนาดเล็กคล้ายเมล็ดถั่ว กระจายอยู่ทั่วร่างกาย เช่น บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ ทรวงอก และช่องท้อง ภายในต่อมน้ำเหลืองเต็มไปด้วยเซลล์ลิมโฟไซต์ ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจจับและทำลายเชื้อโรคหรือเซลล์ที่ผิดปกติ หากมีการติดเชื้อหรือการอักเสบในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองในบริเวณนั้นอาจโตขึ้นและกดเจ็บได้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ
ทำความรู้จักกับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) คือมะเร็งที่เกิดขึ้นกับเซลล์ลิมโฟไซต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบน้ำเหลือง เมื่อเซลล์ลิมโฟไซต์เกิดการแบ่งตัวผิดปกติและไม่สามารถควบคุมได้ จะก่อให้เกิดก้อนเนื้อร้ายในต่อมน้ำเหลืองและอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายได้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma) เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีลักษณะเฉพาะคือมีการปรากฏของเซลล์ Reed-Sternberg ซึ่งเป็นเซลล์มะเร็งขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเด่น
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma) เป็นกลุ่มของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีความหลากหลายสูง มีหลายชนิดย่อย และพบได้บ่อยกว่าชนิดฮอดจ์กิน
2. อาการที่พบบ่อยของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อยและควรสังเกตมีดังนี้
- ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบ มักมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่เจ็บ และค่อย ๆ โตขึ้น
- ไข้ มีไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหงื่อออกตอนกลางคืน เหงื่อออกมากผิดปกติในเวลากลางคืน จนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลดลงมากกว่า 10% ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ได้ตั้งใจลดน้ำหนัก
- อ่อนเพลีย รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า แม้พักผ่อนเพียงพอ
- คันตามผิวหนัง อาการคันอาจเกิดขึ้นทั่วร่างกาย โดยไม่มีผื่น
- อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มะเร็งลุกลาม เช่น ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือปวดท้อง
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบ อาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเท่านั้น อาจเกิดจากภาวะสุขภาพอื่น ๆ ได้เช่นกัน หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีการแบ่งระยะของโรคเพื่อบ่งบอกขอบเขตของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความสำคัญในการวางแผนการรักษาและการประเมินผลการรักษา โดยระบบที่นิยมใช้ในการแบ่งระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือ ระบบ Ann Arbor Staging System ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก และมีการใช้ตัวอักษรเพิ่มเติมเพื่อระบุลักษณะเฉพาะของโรค
- ระยะที่ 1 (Stage I) พบเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองเพียงบริเวณเดียว หรือพบในอวัยวะนอกระบบน้ำเหลืองเพียงตำแหน่งเดียว (เรียกว่า Stage IE)
- ระยะที่ 2 (Stage II) พบเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่สองบริเวณขึ้นไป แต่อยู่ด้านเดียวกันของกระบังลม (คืออยู่เหนือหรือใต้กระบังลมเท่านั้น) หรือพบในอวัยวะนอกระบบน้ำเหลืองหนึ่งตำแหน่งและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง (เรียกว่า Stage IIE)
- ระยะที่ 3 (Stage III) พบเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองทั้งสองด้านของกระบังลม (คือทั้งเหนือและใต้กระบังลม) อาจพบในม้าม (เรียกว่า Stage IIIS) หรือพบในอวัยวะนอกระบบน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง (เรียกว่า Stage IIIE) หรือทั้งสองอย่าง (เรียกว่า Stage IIIE+S)
- ระยะที่ 4 (Stage IV) เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่นอกระบบน้ำเหลือง เช่น ไขกระดูก ตับ หรือปอด
3. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรค ได้แก่
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- อายุ พบได้บ่อยขึ้นในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะช่วงอายุ 60-70 ปี
- เพศ ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วย HIV/เอดส์ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและต้องรับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ตนเอง (เช่น SLE) มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น Epstein-Barr virus (EBV) และ Human T-lymphotropic virus type 1 (HTLV-1) รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด
- การสัมผัสสารเคมี การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมีในอุตสาหกรรม อาจเพิ่มความเสี่ยง
- ประวัติครอบครัว มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหากมีบุคคลในครอบครัว (เช่น พี่น้อง) เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง
- การได้รับรังสี การได้รับรังสีในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยง
- โรคบางชนิด เช่น โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่บางการศึกษาเสนอว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการสัมผัสกับมลภาวะ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
- ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีปัจจัยเสี่ยง จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งหลายคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็ไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจน
4. การดูแลตัวเองเมื่อเผชิญกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองvอาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก การดูแลตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มาดูวิธีดูแลตัวเอง
1. การดูแลทางร่างกาย
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เข้ารับการรักษาตามแผนที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
- ดูแลสุขภาพทั่วไป รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบา ๆ เท่าที่ร่างกายไหว
- จัดการกับผลข้างเคียงของการรักษา แจ้งแพทย์หรือพยาบาลเมื่อมีผลข้างเคียงจากการรักษา เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรค เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอาจอ่อนแอลงระหว่างการรักษา ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน และล้างมือบ่อย ๆ
- ดูแลผิวหนังและช่องปาก ผิวหนังอาจแห้งและระคายเคืองง่าย ควรทาครีมบำรุงผิว และดูแลสุขอนามัยในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
2. การดูแลทางจิตใจ
- ยอมรับและทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและกระบวนการรักษา อาจช่วยลดความกังวลและความกลัว
- พูดคุยและระบายความรู้สึก พูดคุยกับคนใกล้ชิด ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือผู้ที่เข้าใจ เพื่อระบายความรู้สึกและความกังวล
- เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วย การพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคนอื่น ๆ อาจช่วยให้รู้สึกได้รับการสนับสนุนและไม่โดดเดี่ยว
- หากิจกรรมที่ผ่อนคลาย ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง หรือทำงานอดิเรก เพื่อลดความเครียด
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษาไว้ล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตโรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน สามารถเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 15/05/68