มือใหม่ต้องรู้ ! ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน ?
เพราะโควิด 19 อาจทำให้ชีวิตของใครหลายคนเปลี่ยนไป จากที่เคยมีรายได้พอใช้ อาจต้องกลายมาเป็นหารายได้เสริมเข้ามาทดแทน และอาชีพแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือการขายของออนไลน์ เพราะการขายของออนไลน์ไม่ต้องลงทุนมากเหมือนการเปิดหน้าร้านทั่วไป การขายของออนไลน์จึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจในยุคนี้
แต่ก่อนที่จะผันตัวเองมาทำอาชีพนี้ ต้องทำความเข้าใจกับการเสียภาษีกันก่อน เพราะหลายคนอาจยังไม่เข้าใจเรื่องการยื่นภาษีและจ่ายภาษีสำหรับการขายของออนไลน์ เช่น การยื่นแบบภาษีต้องทำยังไง ขายของออนไลน์ รายได้เท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี หรือควรต้องเตรียมตัวยังไงบ้างก่อนทำอาชีพนี้ พร้อมแล้วตามไปดูกัน !
ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีแบบไหน
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่มาทางนี้ ไม่ว่าเราจะขายอะไรก็ตามแต่ถ้ามีรายได้ยังไงก็ต้องยื่นภาษีนะ เพราะยังถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเงินได้ โดยจะเสียภาษีหรือไม่เสียภาษีนี้จะต้องขึ้นอยู่กับว่าเรามี "เงินได้สุทธิ" หรือ "กำไรสุทธิ" เมื่อหักค่าใช้จ่าย
ซึ่งหากมีรายได้จากการขายของออนไลน์ จะต้องยื่นภาษีเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ ม.40 (8) เมื่อมีรายได้เกิน 60,000 บาท (กรณีโสด) หรือมีรายได้เกิน 120,000 บาท (กรณีสมรส) ต่อปี ในการยื่นภาษีของการของออนไลน์ สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบหักตามจริง และแบบเหมา 60%
หักค่าใช้จ่ายตามจริง
- เหมาะกับการขายออนไลน์ที่มีต้นทุนสูงในการขายสินค้า เพราะวิธีนี้จะทำให้คนที่มีต้นทุนสูงสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงด้วย ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายไปแล้ว เงินได้สุทธิที่ต้องนำมาคำนวณภาษีก็จะลดลงตามไป โดยวิธีนี้ต้องจัดเก็บรวบรวมบัญชีรายรับรายจ่ายพร้อมหลักฐานไว้ให้ครบ เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ และช่วยลดความสับสนเมื่อต้องยื่นภาษี
หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60%
- เหมาะกับการขายออนไลน์ที่มีกำไรเยอะ เช่น กำไรที่แท้จริงหักค่าใช้จ่ายแล้วมีมากกว่า 40% หมายความว่าต้นทุนของธุรกิจจะน้อยกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งข้อดีคือเราไม่ต้องแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายกับกรมสรรพากร และทำให้เราได้ประโยชน์ทางภาษีในส่วนต่างของต้นทุนที่แท้จริงกับค่าใช้จ่ายแบบเหมา
ที่มา : bangkokbiznews (ข้อมูล ณ วันที่ 31/05/64)
ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่ ?
พ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะทำงานประจำไปด้วยหรือว่าขายของออนไลน์อย่างเดียวต่างก็ต้องยื่นภาษี โดยการยื่นภาษีสำหรับการขายของออนไลน์นั้นจะต้องยื่น 2 รอบ (ภ.ง.ด. 94 และ ภ.ง.ด. 90) ตามช่วงเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด ดังนี้
- รอบแรกยื่นภาษีครึ่งปี ยื่นภาษีโดยนำเงินได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. มาแสดงในการยื่นภาษี ตามแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 1 ก.ค. - 30 ก.ย. ในปีเดียวกัน โดยสาเหตุที่ให้มีการเสียภาษีครึ่งปีเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้มีรายได้ เพื่อไม่ให้เสียภาษีหนักในครั้งเดียว
- รอบสองยื่นภาษีปลายปี ยื่นภาษีโดยนำเงินได้ทั้งปี มากรอกในแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. ของปีถัดไป (เช่น เงินได้ปี 2564 ต้องยื่นภายใน มี.ค.2565)
นอกจากนี้ใครที่ขายของออนไลน์แล้วมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียน VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุก ๆ เดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และต้องออกใบกำกับภาษีให้กับผู้มาใช้บริการด้วย
ที่มา : bangkokbiznews (ข้อมูล ณ วันที่ 31/05/64) , postfamily
ขายของออนไลน์ต้องรู้ e - Payment คืออะไร ?
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มื่อใหม่คงสงสัยกันว่า หากเราไม่ยื่นภาษีจากการขายของออนไลน์ แล้วทางสรรพากรจะรู้ได้ยังไง เอาล่ะ ! ใครที่คิดจะหลบเลี่ยงฟังกันให้ดี เพราะตอนนี้มีกฎหมายออกมารองรับให้ทางสถาบันการเงินต้องมีการส่งข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า “อีเพย์เมนต์ (e-Payment)” ที่เริ่มมีผลบังคับใช้จริงแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 ให้กับทางสรรพากรตรวจสอบ ซึ่งจะมีเงื่อนไขที่เข้าข่ายโดนสรรพากรตรวจสอบมีดังนี้
- เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
- ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวมานี้ หากธนาคารพบว่าบัญชีไหนเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็มีสิทธิ์ถูกตรวจสอบและทำการส่งข้อมูลให้ทางสรรพากร ดังนั้นไม่ควรหลบเลี่ยงดีที่สุด
ที่มา : bangkokbiznews (ข้อมูล ณ วันที่ 02/01/65) , page365
เตรียมตัวยื่นภาษี สำหรับการขายของออนไลน์
มาถึงตรงนี้ใครที่กำลังผันตัวเองเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ ต้องมีการวางแผนก่อนยื่นภาษีกันหน่อย เพราะหากขาดเอกสารหรือทำอะไรผิดขั้นตอนไปเพียงนิดเดียว อาจมีปัญหาในการยื่นภาษีได้
- ควรจดบันทึกรายการซื้อขายสินค้า ทำบัญชีรายรับรายจ่ายรายวัน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราไม่สับสนแล้ว ยังช่วยให้เราจัดการเรื่องเงินได้ง่ายกว่าการทำย้อนหลัง
- เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการค้า ธุรกรรมทางการเงิน เพราะนอกจากจะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเมื่อสรรพากรเข้ามาขอตรวจสอบอีกด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าความถี่และจำนวนเงินโอนเข้าบัญชีเข้าเกณฑ์ภาษีe - Payment ของทุกปี
- แนะนำให้ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีอย่างต่อเนื่อง เพราะเงื่อนไขในแต่ละปีอาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยให้เราจัดการภาษีได้อย่างถูกต้องและไม่มีปัญหาย้อนหลัง
ที่มา : postfamily
แม้การเสียภาษีสำหรับการขายของออนไลน์อาจะมีหลายขั้นตอน แต่เชื่อว่าไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่อย่างแน่นอน คิดถึงข้อดีของการเสียภาษีกันไว้ เพราะนอกจากเราจะเสียภาษีแบบถูกต้องแล้ว ยังช่วยให้ไม่ต้องกังวลการถูกตรวจสอบจากสรรพากร และยังขายของออนไลน์ได้อย่างเปิดเผยอีกด้วย
เตรียมวางแผนการยื่นภาษีกันไปแล้ว อย่าลืมวางแผนลดหย่อนภาษีกันด้วยนะ คุ้มสองต่อได้ทั้งความคุ้มครองสุขภาพและลดหย่อนภาษี ด้วยประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต คุ้มครองโรคอุบัติใหม่ โรคเก่าที่วนกลับมาใหม่ โรคระบาด โรคร้ายแรง และโรคทั่วไป วงเงินเลือกได้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท อายุรับประกันสูงสุด 80 ปี ดูแลต่อเนื่องยาว ๆ สูงสุดถึงอายุ 99 ปี* ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี
ตัวอย่างค่าเบี้ย เพศหญิงอายุ 35 ปี วันละไม่ถึง 65 บาท
เลือกความคุ้มครองสุขภาพ ดี เฮลท์ แผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท
โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต หรือ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
เลือกประกันสุขภาพเหมาจ่าย เลือกเมืองไทยประกันชีวิต
Whatever’s Next, MTL’s NEXT to You
พร้อมพัฒนาในทุกด้าน เพื่อก้าวเดินไปพร้อมคุณ
*เฉพาะสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ และ ดี เฮลท์
- ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
- เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
- การพิจารณารับประกันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย