โรคโลหิตจาง ควรกินอะไร ห้ามกินอะไร? พร้อมแนะนำอาหารบำรุงเลือด
โรคโลหิตจาง ไม่ได้กระทบแค่เรื่องเหนื่อยง่าย หรือเวียนศีรษะเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด และการทำงานของหัวใจในระยะยาวอีกด้วย หนึ่งในวิธีดูแลตัวเองที่ทำได้ง่ายที่สุด คือการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า "โรคโลหิตจางควรกินอะไร ห้ามกินอะไร" พร้อมแนะนำอาหารบำรุงเลือดที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงอย่างได้ผล
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
โรคโลหิตจาง คืออะไร? ใครต้องระวัง?
โรคโลหิตจาง (Anemia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ หรือเม็ดเลือดแดงมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จึงทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ผิวพรรณซีดเหลือง และบางรายอาจมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติได้
หน้าที่หลักของเม็ดเลือดแดง คือ การขนส่งออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง หรือเม็ดเลือดแดงมีขนาด รูปร่าง หรือคุณภาพผิดปกติ กระบวนการลำเลียงออกซิเจนจึงติดขัด ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเสียสมดุล และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้นได้ในระยะยาว
ใครบ้างที่ควรระวังโรคโลหิตจางเป็นพิเศษ?
แม้ว่าใคร ๆ ก็มีโอกาสเป็นโลหิตจางได้ แต่กลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ควรใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ
- ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
โดยเฉพาะผู้ที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ หรือมีประจำเดือนนานหลายวัน ร่างกายจะสูญเสียเลือด และธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก - หญิงตั้งครรภ์
ช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายต้องการธาตุเหล็กและโฟเลตมากขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงสำหรับทั้งแม่ และทารก หากขาดสารอาหารสำคัญเหล่านี้ อาจเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางได้ง่าย - เด็ก และวัยรุ่นที่กำลังเจริญเติบโต
การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต้องการสารอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะธาตุเหล็ก หากไม่ได้รับอาหารที่มีคุณภาพเพียงพอ อาจเสี่ยงโลหิตจางได้ - ผู้สูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบการดูดซึมธาตุเหล็ก และวิตามินต่าง ๆ มีประสิทธิภาพลดลง ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางเพิ่มขึ้น - ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับ หรือโรคมะเร็ง โรคเหล่านี้อาจกระทบต่อการผลิตเม็ดเลือดแดง หรือทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว - ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติแบบเข้มงวด การงดเว้นเนื้อสัตว์อาจทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็ก และวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ผู้ที่สูญเสียเลือดจากเหตุการณ์เฉียบพลัน
เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัดใหญ่ หรือมีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารโดยไม่รู้ตัว (เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร)
แม้ว่าโรคโลหิตจางจะดูเหมือนภาวะธรรมดา แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง ทั้งเรื่องของพลังงานในชีวิตประจำวัน สมรรถภาพร่างกาย และสุขภาพหัวใจในระยะยาว การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม การเสริมสารอาหารจำเป็น และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ คือกุญแจสำคัญในการป้องกัน และดูแลโรคโลหิตจางอย่างได้ผล
โรคโลหิตจาง ควรกินอะไรบ้าง?
ภาวะ โรคโลหิตจาง ไม่ใช่แค่ทำให้เหนื่อยง่าย หรือหน้ามืดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวอีกด้วย การดูแลตัวเองด้วยการเลือกอาหารที่เหมาะสม จึงเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภาวะโลหิตจางได้อย่างปลอดภัย และยั่งยืน
หลายคนอาจสงสัยว่า โรคโลหิตจาง ควรกินอะไรบ้าง? วันนี้เรารวบรวมลิสต์อาหารที่ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และบำรุงร่างกายมาให้แล้ว!
1. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
ธาตุเหล็กเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้มีภาวะโลหิตจาง เช่า
- ตับหมู ตับไก่ (แหล่งธาตุเหล็กดูดซึมง่าย)
- เนื้อแดงไม่ติดมัน เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู
- หอยนางรม หอยลาย
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น ตำลึง คะน้า ผักโขม
ควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กร่วมกับวิตามินซี เช่น ดื่มน้ำส้มคั้น หรือกินผลไม้รสเปรี้ยวหลังมื้ออาหาร จะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
2. อาหารที่อุดมด้วยโฟเลต (วิตามินบี9)
โฟเลตจำเป็นต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ ใครที่เป็นโลหิตจางไม่ควรมองข้าม อาทิเช่น
- หน่อไม้ฝรั่ง
- อะโวคาโด
- ฟักทอง
- ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วเขียว
- ธัญพืชเสริมโฟเลต เช่น ซีเรียลอาหารเช้า
3. วิตามินบี12 ตัวช่วยลับที่ขาดไม่ได้
วิตามินบี12 เป็นอีกตัวช่วยสำคัญที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงคุณภาพดี โดยเฉพาะคนที่มีโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี12 โดยอาหารที่ให้วิตามินบี12 สูง ได้แก่
- ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
- ไข่ไก่
- นม และผลิตภัณฑ์นม
- เนื้อไก่ เนื้อวัว
สำหรับคนทานมังสวิรัติ อาจต้องเสริมด้วยวิตามินบี12 จากอาหารเสริม เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง
4. วิตามินซี ตัวเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก
ใครที่อยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น ควรทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ด้วย เช่น
- ส้ม มะนาว
- ฝรั่ง
- มะละกอ
- กีวี
- สตรอว์เบอร์รี่
5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
นอกจากอาหารบำรุงเลือดแล้ว "น้ำ" ก็สำคัญ! การดื่มน้ำให้พอเพียงแต่ละวันจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยลดอาการเหนื่อยง่ายจากภาวะโลหิตจางได้ด้วย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง หรือควรทานให้น้อยลง
แม้การดูแลสุขภาพด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงจะช่วยบรรเทาอาการโลหิตจางได้ดี แต่รู้ หรือไม่ว่า...บางประเภทของอาหาร หากรับประทานผิดเวลา หรือทานควบคู่กับธาตุเหล็ก อาจลดประสิทธิภาพการดูดซึม และทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้าลง
เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงอย่างได้ผล ลองมาดูกันว่า อาหารที่คนเป็นโลหิตจางควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานให้น้อยลง มีอะไรบ้าง และควรจัดการอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสารอาหารเต็มที่ที่สุด
1. กลุ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง
อาหารประเภทนม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมวัว เนย โยเกิร์ต ชีส น้ำเต้าหู้ และแม้แคลเซียมจะมีประโยชน์ต่อกระดูก แต่หากรับประทานในช่วงเวลาเดียวกับการเสริมธาตุเหล็ก อาจลดการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้
2. อาหารที่มีสารฟิติก (Phytate)
ฟิติก แอซิด พบในธัญพืชบางชนิด เช่น ข้าวโพด ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืชเต็มเมล็ด ฟิติกสามารถจับกับธาตุเหล็ก และลดประสิทธิภาพการดูดซึม
3. เครื่องดื่ม และอาหารที่มีโพลีฟีนอล
โพลีฟีนอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีในหลายแง่มุม แต่สำหรับผู้มีภาวะโลหิตจาง ควรระมัดระวังเมื่อบริโภคอาหาร และเครื่องดื่มเหล่านี้ เช่น กาแฟ ชาดำ ชาเขียว ไวน์แดง ดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งโพลีฟีนอลในอาหารเหล่านี้อาจไปรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กได้เช่นกัน
4. อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มรสหวาน
- อาหารแช่แข็ง
- อาหารกึ่งสำเร็จรูป
- น้ำอัดลม
กลุ่มอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ และบางชนิดมีสารเติมแต่งที่อาจส่งผลทางลบต่อสุขภาพโดยรวม จึงควรลดการบริโภค
เช็กสัญญาณ อาการของโรคโลหิตจาง
ภาวะโลหิตจางอาจไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนในช่วงแรก หลายคนจึงไม่ทันสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น จนกระทั่งอาการเริ่มรุนแรง และส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด เนื่องจากร่างกายพยายามชดเชยออกซิเจนที่ขาดหายไป หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้น นำไปสู่อาการผิดปกติต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็น ซึ่งโดยทั่วไป อาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง ได้แก่
- เหนื่อยง่าย หรืออ่อนเพลียแม้ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ
- รู้สึกไม่มีแรง สดชื่นน้อยลง ผิวพรรณดูซีดเซียว
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะขณะออกแรง หรือออกกำลังกาย
- มึนงง วิงเวียน หรือรู้สึกศีรษะเบา
- มีอาการปวดศีรษะเป็นระยะ
- มือ และเท้าเย็นกว่าปกติ
- ผิวหนังซีด หรือบางรายอาจมีสีผิวออกเหลือง
- เจ็บหน้าอก ใจเต้นเร็ว หรือหัวใจสั่นผิดจังหวะ
การดูแลภาวะโลหิตจางไม่ใช่แค่การเลือกอาหารที่มีประโยชน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการหลีกเลี่ยงอาหารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก และการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเพื่อประเมินภาวะร่างกาย นอกจากนี้ การเตรียมแผนคุ้มครองสุขภาพล่วงหน้า ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท เจ็บป่วยก็เบาใจกับค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 28/04/68
🔖 สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย
🔖 สสส
🔖 hdmall
🔖 สสส