ทรัมป์เก็บภาษีตอบโต้ ตลาดผันผวน กังวลเศรษฐกิจถดถอย-เงินเฟ้อ
วันที่ 2 เมษายน 2568: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีใหม่ที่เรียกว่า "Reciprocal Tariff" หรือ ภาษีศุลกากรตอบโต้ โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. 68 โดยกำหนดภาษีนำเข้าขั้นต่ำที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด และจะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่า “มีความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ” โดยประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม เช่น จีน (34%), ญี่ปุ่น (24%), สหภาพยุโรป (20%) และประเทศไทย (36%)
โดยมาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ 1) แก้ปัญหาการขาดดุลการค้า, 2) เพื่อเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษี และ 3) กดดันให้ภาคธุรกิจกลับมาลงทุนในประเทศและเพิ่มการจ้างงาน
ผลกระทบต่อตลาดการเงินหลังการประกาศ (วันที่ 3 เมษายน 2568)
- ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ปรับตัวลง เช่น S&P 500 -4.84%, Nasdaq -6%, Dow Jones -4%
- ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ เช่น ดัชนีหุ้นยุโรป STOXX600 -2.57%, ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น TOPIX -3.08%, ดัชนีหุ้นจีน CSI300 -0.59%, ดัชนีหุ้นไทย SET -0.93% เป็นต้น
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2ปี และ 10ปี ปรับลงประมาณ 10-15 bps สะท้อนความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว
มุมมองและคำแนะนำการลงทุน
- ตลาดจับตาว่ามาตรการภาษีเหล่านี้อาจจะนำไปสู่ภาวะ Stagflation หรือ เงินเฟ้อปรับสูง ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
- ขณะที่เศรษฐกิจไทย หากภาษีนำเข้าปรับเพิ่มขึ้นตามข้างต้น อาจทำให้เศรษฐกิจไทยที่ถูกประเมินว่าจะเติบโต 2.4% ในปีนี้ มีโอกาสสูงที่จะเติบโตน้อยกว่า 2% ได้
- อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าอัตราภาษีที่ประกาศออกมานี้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกให้ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เข้ามาเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เช่น ในการแถลงการของทรัมป์ ได้มีการเอ่ยถึงประเทศคู่ค้า เช่น เวียดนามที่ได้ติดต่อเพื่อเจรจาก่อนหน้าการแถลง เป็นต้น
- ในสถานการณ์ปัจจุบัน เรายังคงต้องติดตามต้องติดตามท่าทีของประเทศต่าง ๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่น เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การผ่อนคลายในการปรับเพิ่มภาษี หรือ การพิจารณาการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ เช่น จีน หรือ แคนนาดาที่ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้โดยจากข้อมูลในปัจจุบันยังเป็นการยากที่จะระบุถึงผลกระทบที่จะออกมา
- ในระยะสั้น ตลาดกำลังอยู่ในช่วง Risk-off และมีแนวโน้มผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดีนักลงทุนระยะยาวไม่ควรตกใจจนเกินไป และยังสามารถลงทุนต่อไปได้ตามระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ของแต่ละพอร์ต โดยการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ช่วยลดโอกาสขาดทุน และตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนอย่างปัจจุบัน
คำเตือน : ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะกองทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดยการ เรียบเรียงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับภายใน มิใช่สำหรับการเผยแพร่ และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชักชวน ชี้นำ หรือเสนอขายหลักทรัพย์ใด ๆ จึงไม่ถือเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจการลงทุนทางการเงินโดยสิ้นเชิง อนึ่งข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนเอกสารฉนับนี้ ถูกจัดทำและรวบรวมด้วยความสุจริต และพยายามจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่บริษัทฯ มิอาจรับประกันความถูกต้องครบถ้วน หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าวได้ ผู้ใช้ข้อมูลนี้ต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และผู้ลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นผู้บริหารกองทุนโดยตรงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลกองทุน