Loading...

กำลังโหลดหน้าเว็บไซต์
รอสักครู่น้า Loading...

ไวรัสตับอักเสบเอ สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาทำยังไง รู้ไว ห่างไกลโรค

ไวรัสตับอักเสบเอ สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาทำยังไง รู้ไว ห่างไกลโรค

ปัจจุบัน พฤติกรรมการทานอาหารและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มักจะถูกกระทบจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การเลือกทานอาหารที่ไม่ค่อยคำนึงถึงสุขภาพ หรือการทำงานหนักจนไม่สนใจการดูแลร่างกาย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ที่มักจะไม่คาดคิด รวมถึงโรคไวรัสตับอักเสบที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาดหรือการละเลยการตรวจสุขภาพเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคไวรัสตับอักเสบเอ รวมทั้งสายพันธุ์อื่น ๆ โดยที่คุณอาจไม่ทันรู้ตัว



บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับโรคไวรัสตับอักเสบเอ ทั้งสาเหตุ อาการที่เป็น และการป้องกันโรคนี้ ตามมาอ่านกันได้เลย



ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ

1. ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร ติดต่อทางไหน

2. ไวรัสตับอักเสบเอ กับ บี ต่างกันอย่างไร

3. วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบเอ เป็นแล้วดูแลอย่างไร

4. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ฉีดกี่เข็ม


ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร ติดต่อทางไหน


1. ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร ติดต่อทางไหน

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เป็นโรคติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าตนเองก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือพฤติกรรมบางอย่างที่อาจนำพาเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าที่คิด


โรคไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Picornavirus เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในตับ ส่งผลให้การทำงานของตับผิดปกติ ซึ่งร่างกายจะแสดงอาการโดยมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง


กรณีที่ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง หากดูแลรักษาอย่างถูกหลัก ก็จะกลับมาหายเป็นปกติ ไม่เป็นพาหะของโรค และไม่ติดเชื้อเรื้อรัง แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอในผู้สูงอายุ ก็จะเสี่ยงอันตรายมากกว่า เสี่ยงตับอักเสบเฉียบพลันขั้นรุนแรง โรคตับแข็ง หรือติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ


อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ >> ภัยเงียบมะเร็งตับ สัญญาณเตือนที่คุณควรรู้



อาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ


  • มีไข้
  • รู้สึกอ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • รู้สึกแน่นหรือเจ็บช่วงใต้ชายโครงขวา
  • ปวดท้อง ท้องร่วง
  • ปัสสาวะสีเข้มกว่าปกติ
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง



ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อทางไหน

ติดต่อจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสนี้อยู่ หรือติดต่อผ่านสารคัดหลั่งเช่น น้ำมูก น้ำลายของผู้ติดเชื้อ เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ เชื้อจะมีระยะฟักตัวเฉลี่ย 4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ โดยเชื้อจะออกมากับอุจจาระของผู้ติดเชื้อในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนจะแสดงอาการ ซึ่งเชื้อตัวนี้จะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นาน จึงมีโอกาสที่จะลอยไปปนเปื้อนกับน้ำและอาหาร หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่คนสัมผัสแล้วนำไปสู่การติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ จึงพบว่าโรคนี้เป็นโรคที่มีการระบาดมากในชุมชนที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น ชุมชนแออัด โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น


ใครบ้างที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ


ใครบ้างที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ


  • ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด หรือต้องอาศัยในพื้นที่แคบร่วมกับคนหมู่มาก เช่น ในค่ายทหาร, ศูนย์อพยพ
    เด็กเล็ก หรือผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับเด็ก
  • ผู้ที่พักอาศัย หรือเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อ
  • ผู้ที่พักอาศัยร่วมกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง


อ่านบทความเพิ่มเติม >>> รู้จักโรคอุจจาระร่วงให้มากขึ้น เพราะท้องเสียไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ!


ไวรัสตับอักเสบเอ กับ บี ต่างกันอย่างไร


2. ไวรัสตับอักเสบเอ กับ บี ต่างกันอย่างไร

โรคไวรัสตับอักเสบ ถูกแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ โดยแต่ละชนิดมีลักษณะการติดต่อ อาการ และผลกระทบที่แตกต่างกันไป ซึ่งสายพันธุ์ที่พบบ่อยและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) และไวรัสตับอักเสบบี (HBV) หลายคนอาจสงสัยว่าไวรัสสองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร และมีผลต่อร่างกายในแบบใดบ้าง แอดจะพาไปทำความเข้าใจความแตกต่างของสายพันธุ์เอและบีกัน



เชื้อไวรัสตับอักเสบสายพันธุ์เอ

  • ช่องทางการติดต่อของโรค พบเชื้อในน้ำลาย, อุจจาระของผู้ติดเชื้อ ติดต่อโรคได้ผ่านการทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ
  • การแสดงอาการของผู้ป่วย เชื้อฟักตัวโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ก่อนแสดงอาการ มีไข้ ปวดท้อง ตัวเหลือง-ตาเหลือง
  • ระยะเวลารักษา โดยทั่วไปอาการจะหายภายในระยะเวลา 2 เดือน
  • ความรุนแรงของอาการ ไวรัสตับอักเสบสายพันธุ์เอ เป็นตัวที่สามารถรักษาให้หายได้ และไม่กลับมาเป็นพาหะอีก



เชื้อไวรัสตับอักเสบสายพันธุ์บี


  • ช่องทางการติดต่อของโรค พบเชื้อในเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำตา และสารคัดหลั่งในร่างกายของผู้ติดเชื้อ โดยจะติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การคลอดบุตร การสัมผัสบาดแผล การใกล้ชิด หรือการใช้สิ่งของบางอย่างร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา แปรงสีฟัน
  • การแสดงอาการของผู้ป่วย ระยะฟักตัวของเชื้อจะอยู่ที่ 1 - 3 เดือน และจะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และตาเหลือง-ตัวเหลือง
  • ระยะเวลารักษา โดยกรณีเป็นอาการแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะหายเองได้ภายใน 6 เดือน แต่ในกรณีที่เป็นอาการแบบเรื้อรัง ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับ และโรคตับแข็งต่อไป
  • ความรุนแรงของอาการ ไวรัสตับอักเสบบีเป็นเชื้อที่ติดแล้วสามารถรักษาให้หายได้ แต่ให้ระวังโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะตามมา


วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบเอ เป็นแล้วดูแลอย่างไร


3. วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบเอ เป็นแล้วดูแลอย่างไร


เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบเอ หลายคนอาจเกิดความกังวลว่า หลังจากนี้จะต้องรักษาอย่างไร รวมทั้งแนวทางในการดูแลสุขภาพเพื่อให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ต้องทำยังไงบ้างมาดูกันเลย


  • ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ และก่อนประกอบอาหาร
  • สวมถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่ง หรืออุจจาระของผู้อื่น
  • รักษาความสะอาดของร่างกาย และพื้นที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
  • ทานยารักษาตามอาการ หรือตามแพทย์สั่ง
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ


วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ฉีดกี่เข็ม


4. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ฉีดกี่เข็ม

ปัจจุบัน แนวทางการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ และบี สามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ สำหรับคนที่สนใจ แอดขอแนะนำแนวทางการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ควรฉีดเมื่อไร และต้องดำเนินการอย่างไรบ้างนะ?


ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ


  • ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรค เช่น เด็กแรกเกิด, เด็กเล็ก
  • เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ใกล้ชิด หรือต้องดูแลผู้ที่ติดเชื้อ
  • ผู้ที่ประกอบอาชีพที่เสี่ยงต่อการติดโรค และผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก
  • ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ที่กำลังเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
  • ผู้ที่มีอาการของโรค Hemophilia
  • ผู้ใช้ยาเสพติดหรือมีพฤติกรรมติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์



วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ฉีดกี่เข็ม ห่างกันกี่เดือน

หากต้องการรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอเพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปจะฉีด 2 ครั้ง(เข็ม) โดยเว้นระยะเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรกเป็นเวลาประมาณ 6 - 12 เดือน



วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ+บี ฉีดกี่เข็ม ห่างกันกี่เดือน

ผู้ที่มีอายุระหว่าง 8 - 65 ปี สามารถรับวัคซีนตับอักเสบเอและบีรวมกันได้ในเข็มเดียวกัน โดยจะฉีด 3 ครั้ง(เข็ม) ฉีดเข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรก 1 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อีก 6 เดือน



การเลือกทานอาหารที่ดีและดูแลสุขภาพในทุก ๆ วัน จะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นส่วนหนึ่งของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพื่อไม่ให้เราต้องเผชิญกับโรคไวรัสตับอักเสบเอ หรือโรคอื่น ๆ ที่อาจตามมา เมื่อห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่มากขึ้นอีกด้วย


ดูแลสุขภาพให้ครอบคลุม และเติมความสบายใจให้มากกว่าเดิม ด้วย ประกันสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต ตัวช่วยดูแล ดุจเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคุณ



รายละเอียดเพิ่มเติม

☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ช่องทางที่ดูแลท่าน


  • โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย



ที่มา สืบค้น ณ วันที่ 28/04/2568

🔖Samitivej
🔖Phayathai
🔖ruamjairak
🔖vibhavadi

สนใจแบบประกัน

ข้าพเจ้าตกลงยินยอมให้ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต เก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นของข้าพเจ้าเพื่อติดต่อข้าพเจ้าในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ ข้าพเจ้าสนใจหรือที่บริษัทฯ เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ ข้าพเจ้าได้โดยข้าพเจ้าให้ถือเอาการทำเครื่องหมาย ในช่องสี่เหลี่ยมเป็นการแสดงเจตนา ยินยอมของข้าพเจ้าแทน การลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ ก่อนการแสดงเจตนาดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าได้อ่านและรับทราบเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวแล้ว

บทความน่าสนใจ