สถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุด ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
- เช้ามืดของวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน อิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อโรงงานนิวเคลียร์และฐานทัพของอิหร่าน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีรายงานว่านายทหารระดับสูงของอิหร่านบางรายเสียชีวิต
- ตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน เวลา 10.15 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) มีรายงานผู้เสียชีวิตในอิหร่านจำนวน 224 ราย ขณะที่ในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิต 14 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 400 ราย
- อิสราเอลระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อจำกัดขีดความสามารถของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในภาคพลเรือนเท่านั้น
- แม้ล่าสุดอิสราเอลจะไม่ได้โจมตีโรงกลั่นหรือฐานการผลิตน้ำมันของอิหร่านโดยตรง แต่ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น +7% ในวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเพียง 0.2%
- ในวันที่ 13 มิถุนายน ดัชนีตลาดหุ้น S&P 500 ของสหรัฐปรับตัวลดลง 1.1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.36% เป็น 4.4% ส่วนตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าของวันที่ 16 มิถุนายน ได้รับผลกระทบในระดับจำกัด โดยดัชนี TOPIX ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น +0.8%, MSCI China ลดลง -0.9% และ SET Index ลดลง -1.1%
- เรามองว่าปัจจัยที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ความเป็นไปได้ที่อิหร่านอาจพิจารณาปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งก๊าซและน้ำมันที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยกว่า 20-25% ของปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในระดับโลกมีต้นทางจากบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้ในอดีตจะมีความตึงเครียดที่รุนแรง แต่อิหร่านยังไม่เคยดำเนินมาตรการปิดช่องแคบนี้
- ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ มีแนวโน้มต้องการให้สถานการณ์กลับสู่ความสงบโดยเร็ว เนื่องจากหากความตึงเครียดยืดเยื้อ อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อที่กำลังเผชิญความท้าทายจากประเด็นสงครามการค้า โดยประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเจรจาระหว่างอิสราเอลและอิหร่านโดยเร็ว
- ปัจจุบัน ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังคงจำกัดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางเท่านั้น ดังนั้นจากข้อมูล ณ เวลานี้ ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในวงกว้างจึงยังอยู่ในระดับจำกัด
- สำหรับปีนี้ เรายังคงประเมินว่าสงครามการค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดการเงินมากกว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดังนั้น เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย พร้อมการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อไม่พลาดโอกาสหากตลาดปรับตัวขึ้น และเพื่อปกป้องเงินต้นในกรณีที่ตลาดเผชิญแรงกดดัน
- จากต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 พอร์ตการลงทุนที่แนะนำของบริษัททั้ง 5 ระดับความเสี่ยงยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วง +1.4% ถึง +2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน -3.9% (ในรูปสกุลเงินบาท) และดัชนี SET Index ที่ปรับลดลง -16.7%
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะกองทุนเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้เอกสารนี้จัดทำโดยการ เรียบเรียงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับภายในมิใช่สำหรับการเผยแพร่และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชักชวนชี้นำหรือเสนอขายหลักทรัพย์ใด ๆ จึงไม่ถือเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจการลงทุนทางการเงินโดยสิ้นเชิง อนึ่งข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนเอกสารฉนับนี้ถูกจัดทำและรวบรวมด้วยความสุจริต และพยายามจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่บริษัทฯ มิอาจรับประกันความถูกต้องครบถ้วนหรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าวได้ ผู้ใช้ข้อมูลนี้ต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และผู้ลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นผู้บริหารกองทุนโดยตรงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลกองทุน