รู้จักช็อกโกแลตซีสต์ ปวดท้องทุกเดือน ไม่ใช่เรื่องปกติ
หลายคนคงเคยปวดท้องประจำเดือนหนัก ปวดท้องเรื้อรัง หรือมีปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ 'ช็อกโกแลตซีสต์' โรคที่ผู้หญิงควรรู้จัก แม้เป็นโรคที่คุ้นหูแต่ก็ยังไม่รู้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์ คือต้นตอของอาการปวดท้องจริงไหม แล้วหากป่วยต้องผ่าตัดซีสต์เท่านั้นหรือไม่ หรือป่วยช็อกโกแลตซีสต์แล้วหายเองได้ไหม ที่สำคัญเลยคือ เคยผ่าตัดซีสต์ ทำประกันมะเร็งได้ไหม? เพราะกังวลกับค่ารักษา มาหาคำตอบไปด้วยกันเลย
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร อันตรายไหม
2. อาการเริ่มต้น ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแบบไหน
4. เคยผ่าตัดซีสต์ ทำประกันมะเร็งได้ไหม?
1. ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร อันตรายไหม
ช็อกโกแลตซีสต์ หรือ ถุงน้ำช็อกโกแลต เป็นภาวะที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไปยังบริเวณอื่น ๆ เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ หรืออุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการอักเสบ และสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมา คล้ายกับเยื่อบุโพรงมดลูกปกติ เมื่อถึงช่วงมีประจำเดือน เนื้อเยื่อเหล่านี้ก็จะหลุดลอก และมีเลือดออกเหมือนกับเยื่อบุโพรงมดลูกปกติ แต่เนื่องจากไม่มีทางออก เลือดจึงไปสะสมอยู่ในบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็ก ๆ ขึ้นมา และเมื่อเวลาผ่านไป เลือดที่สะสมอยู่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ายช็อกโกแลต จึงเป็นที่มาของชื่อ "ช็อกโกแลตซีสต์"
กลุ่มเสี่ยงของโรคช็อกโกแลตซีสต์
โรคช็อกโกแลตซีสต์เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 25-40 ปี แม้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ แต่มีปัจจัยบางอย่าง ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ ดังนี้
- เริ่มมีประจำเดือนเร็ว ผู้ที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่า
- รอบเดือนมาบ่อย หากรอบเดือนมาบ่อยกว่าปกติ (น้อยกว่า 27 วัน) จะเพิ่มความเสี่ยง
- ประจำเดือนมามาก ผู้ที่มีประจำเดือนมามาก หรือมีเลือดออกนานกว่าปกติ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูง
- วัยหมดประจำเดือนช้า ผู้ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนช้ากว่าปกติ จะมีโอกาสสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานานขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง
- ประวัติครอบครัว หากมีสมาชิกในครอบครัว เช่น แม่ พี่สาว หรือ น้องสาว เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้สูงขึ้น
- ความผิดปกติของทางเดินสืบพันธุ์ เช่น ผู้ที่มีเยื่อพรหมจารีปิด หรือมีความผิดปกติที่ปากมดลูก
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดช็อกโกแลตซีสต์
ช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม?
โดยทั่วไป ช็อกโกแลตซีสต์ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้หลายด้าน เช่น
- ปวดท้องรุนแรง อาการปวดท้องอาจรุนแรงมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- ภาวะมีบุตรยาก ช็อกโกแลตซีสต์อาจไปอุดตันท่อนำไข่ ทำให้สเปิร์มและไข่ไม่สามารถพบกันได้
- เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ แม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ ที่จะเกิดมะเร็งรังไข่ชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับช็อกโกแลตซีสต์
2. อาการเริ่มต้น ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแบบไหน
อาการเริ่มต้นของช็อกโกแลตซีสต์ อาจไม่ชัดเจนในช่วงแรก และอาจคล้ายกับอาการปวดประจำเดือนทั่วไป แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะมีอาการที่พบบ่อยคือ
- ปวดท้องประจำเดือนรุนแรง เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ปวดท้องอาจรุนแรงมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- ปวดท้องเรื้อรัง ปวดท้องไม่สบายท้องเป็นระยะเวลานาน
- ปวดท้องขณะมีเพศสัมพันธ์ อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกหลังหมดประจำเดือน
- ท้องผูก หรือ ท้องเสีย
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดเมื่อยหลังส่วนล่าง
- อ่อนเพลีย
- ภาวะมีบุตรยาก
- คลำพบก้อน ในบางรายอาจคลำพบก้อนขนาดเล็กที่บริเวณท้องน้อย
- ปวดหลัง อาจมีอาการปวดร้าวไปที่หลังหรือสะบัก
ป่วยช็อกโกแลตซีสต์ หายเองได้ไหม
หากป่วยช็อกโกแลตซีสต์จะไม่สามารถหายเองได้ ยิ่งปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการปวดท้องและปัญหาอื่น ๆ อาจรุนแรงขึ้นได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ช็อกโกแลตซีสต์ไม่สามารถหายเองได้นั้น เป็นเพราะช็อกโกแลตซีสต์เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ไปยังบริเวณอื่น ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการทางพยาธิวิทยาที่ร่างกายไม่สามารถแก้ไขได้เอง และถุงน้ำช็อกโกแลต มีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ และอาจแตกออก ทำให้เกิดการอักเสบ ทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรงขึ้น ที่สำคัญหากปล่อยไว้ไม่รักษา ซีสต์อาจไปกดทับอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ภาวะมีบุตรยาก
3. วิธีรักษา ช็อกโกแลตซีสต์
การรักษาช็อกโกแลตซีสต์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของซีสต์ อาการของผู้ป่วย อายุ และความต้องการมีบุตรในอนาคต แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละบุคคล ซึ่งโดยทั่วไป การรักษาช็อกโกแลตซีสต์แบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก คือ
1. การรักษาด้วยยา
- ยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptives) ช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ทำให้ซีสต์เล็กลงและอาการปวดท้องลดลง
- ยาอื่น ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาอื่น ๆ เช่น ยาแก้อักเสบ หรือยาที่มีส่วนผสมของโปรเจสเตอรอน เพื่อช่วยลดอาการปวดและการอักเสบ
2. การผ่าตัด
- การผ่าตัดส่องกล้อง เป็นวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้ในการรักษาช็อกโกแลตซีสต์ เพราะแผลผ่าตัดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด แพทย์จะใช้เครื่องมือทางการแพทย์สอดเข้าไปในช่องท้องเพื่อทำการผ่าตัดกำจัดซีสต์และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ออก
- การผ่าตัดแบบเปิด ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่ หรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดแบบเปิด
วิธีดูแลตัวเองหลังการรักษาช็อกโกแลตซีสต์
หลังจากการรักษาช็อกโกแลตซีสต์ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว และลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ
- พักผ่อนให้เพียงพอการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง ผัก ผลไม้ และโปรตีน เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารรสจัดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องได้
- ออกกำลังกายเบา ๆ หลังจากที่แผลหายสนิทแล้ว ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน หรือโยคะ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักในช่วงแรกหลังการผ่าตัด
- มาพบแพทย์ตามนัด การมาพบแพทย์ตามนัดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อติดตามผลการรักษาและตรวจสอบว่ามีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่
4. เคยผ่าตัดซีสต์ ทำประกันมะเร็งได้ไหม?
การที่เคยผ่าตัดซีสต์มาก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะทำประกันมะเร็งไม่ได้เสมอไป แต่บริษัทประกันแต่ละแห่ง จะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแตกต่างกันออกไป โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น
- ประเภทของซีสต์ ซีสต์แต่ละชนิดมีความเสี่ยงในการกลายเป็นมะเร็งแตกต่างกัน เช่น ซีสต์ไขมันมักจะไม่เป็นอันตราย แต่ช็อกโกแลตซีสต์อาจมีความเสี่ยง ที่จะกลายเป็นมะเร็งรังไข่ชนิดหนึ่งได้
- ขนาดและตำแหน่งของซีสต์ ซีสต์ที่มีขนาดใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่น่ากังวล อาจส่งผลต่อการพิจารณาของบริษัทประกัน
- ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา ผลการตรวจชิ้นเนื้อของซีสต์ที่ผ่าออกไป จะเป็นข้อมูลสำคัญที่บริษัทประกันใช้ในการประเมินความเสี่ยง
- ระยะเวลาที่ผ่านมาหลังการผ่าตัด บริษัทประกันบางแห่งอาจพิจารณาว่า หากผ่านการผ่าตัดมานานแล้ว และไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำ อาจอนุมัติการทำประกันได้
ทั้งนี้สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งได้ที่บทความนี้
- ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง แค่ทำพฤติกรรมแบบนี้! พร้อมเช็กอาการ
- ประกันมะเร็ง จำเป็นต้องซื้อเพิ่มไหม ถ้ามีประกันสุขภาพอยู่แล้ว?
แม้ว่าปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันโรคช็อกโกแลตซีสต์ แต่การดูแลสุขภาพที่ดี การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ หรืออยากป้องกันความเสี่ยง หากเจ็บป่วยขึ้นมาค่ารักษาอาจบานปลาย ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพจากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท เจ็บป่วยก็เบาใจกับค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 15/01/68
🔖 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี