บอกลากรดยูริคสูง! กับ 8 อาหาร ลดความเสี่ยงโรคเกาต์
คุณเคยรู้สึกปวดข้ออย่างรุนแรงแบบเฉียบพลันไหม? โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือหัวเข่า หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังเผชิญหน้ากับ "โรคเกาต์" โรคที่เกิดจากการสะสมของ "กรดยูริค" ในร่างกายมากเกินไป จนตกตะกอนเป็นผลึกแหลมคมไปเกาะตามข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และทรมานสุด ๆ แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ! แม้โรคเกาต์จะฟังดูน่ากลัว แต่ก็สามารถควบคุมและลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 8 อาหารมหัศจรรย์ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนช่วยในการลดกรดยูริคในร่างกาย และลดความเสี่ยงโรคเกาต์ได้อย่างน่าทึ่ง!
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. 8 อาหารมหัศจรรย์ ช่วยลดกรดยูริค
2. กรดยูริคสูง ห้ามกินอะไรบ้าง
3. วิธีลดกรดยูริคและป้องกันโรคเกาต์ นอกเหนือจากอาหาร
1. 8 อาหารมหัศจรรย์ ช่วยลดกรดยูริค
ก่อนจะไปรู้จักกับอาหารเหล่านั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่ากรดยูริคคืออะไร กรดยูริค (Uric Acid) คือของเสียชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน (Purine) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ทั้งในอาหารที่เรากินเข้าไป และในเซลล์ของร่างกายเราเอง โดยปกติแล้ว ไตจะทำหน้าที่กำจัดกรดยูริคส่วนเกินออกจากร่างกายทางปัสสาวะ แต่หากร่างกายผลิตกรดยูริคมากเกินไป หรือไตทำงานได้ไม่ดีพอ ก็จะทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคในกระแสเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคเกาต์และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น นิ่วในไต ได้อีกด้วย
แล้วอาหารที่เรากินมีผลต่อระดับกรดยูริคในร่างกายได้อย่างไร? สารพิวรีนในอาหารบางชนิดเมื่อถูกย่อยสลาย จะกลายเป็นกรดยูริค ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่มีพิวรีนต่ำ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมระดับกรดยูริค และนี่คือ 8 อาหารที่ควรมีติดตู้เย็นและตู้กับข้าวของคุณ!
8 อาหารมหัศจรรย์ ช่วยลดกรดยูริค ลดความเสี่ยงโรคเกาต์
1. เชอร์รี่ (Cherry) ไม่ว่าจะเป็นเชอร์รี่สด เชอร์รี่แช่แข็ง หรือน้ำเชอร์รี่เข้มข้น เชอร์รี่ถือเป็นราชินีแห่งผลไม้ในการลดกรดยูริคเลยก็ว่าได้! มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ในเชอร์รี่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยลดระดับกรดยูริคในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกินเชอร์รี่เป็นประจำจึงช่วยลดการกำเริบของโรคเกาต์ได้อย่างชัดเจน
2. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่น ๆ (Berries) นอกจากเชอร์รี่แล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดอื่น ๆ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบและส่งเสริมการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย
3. ผลไม้รสเปรี้ยว (Citrus Fruits) วิตามินซีสูงในผลไม้รสเปรี้ยวอย่างส้ม เลมอน ไลม์ และเกรปฟรุต ไม่เพียงแค่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดระดับกรดยูริคในเลือดด้วย การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอช่วยเพิ่มการขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ
4. ผักใบเขียวเข้ม (Dark Leafy Greens) ผักโขม คะน้า บรอกโคลี และผักใบเขียวเข้มอื่น ๆ เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยม มีพิวรีนต่ำ และยังช่วยเพิ่มความเป็นด่างให้กับร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการตกตะกอนของกรดยูริค
5. กล้วย (Banana) กล้วยเป็นผลไม้ที่มีพิวรีนต่ำ และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของไตในการขับของเสีย รวมถึงกรดยูริคด้วย
6. กาแฟ (Coffee) งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้ เนื่องจากกาแฟมีสารที่อาจช่วยลดการผลิตกรดยูริค และเพิ่มการขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ และหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลหรือครีมมากเกินไป
7. น้ำเปล่า (Water) แม้จะไม่ใช่อาหาร แต่การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลดกรดยูริค น้ำช่วยเจือจางกรดยูริคในกระแสเลือด และช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นในการขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือมากกว่านั้นหากทำกิจกรรมที่ทำให้เสียเหงื่อมาก
8. ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ (Low-Fat Dairy Products) นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตไขมันต่ำ มีโปรตีนชนิดพิเศษที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยในการลดระดับกรดยูริคในเลือดและเพิ่มการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย การบริโภคผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำเป็นประจำจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมกรดยูริค
นอกเหนือจาก 8 อาหารที่กล่าวไปแล้ว ยังมีอาหารอื่น ๆ ที่ผู้มีปัญหากรดยูริคสูง สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
- ไข่ไก่ เป็นแหล่งโปรตีนที่มีพิวรีนต่ำ สามารถบริโภคได้ในปริมาณที่เหมาะสม
- เต้าหู้ เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดี ช่วยขับกรดยูริคได้ (แต่ควรปรึกษาแพทย์หากมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วย)
- ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท, ข้าวโอ๊ต มีใยอาหารสูงและมีพิวรีนต่ำ
- ผักส่วนใหญ่ ยกเว้นยอดผักบางชนิดที่กล่าวไปแล้ว ผักอื่น ๆ เช่น ฟักทอง, ฟักเขียว, แตงกวา, บวบ, มันฝรั่ง, มันเทศ, แครอท, กะหล่ำปลี, ผักกาดขาว, หอมหัวใหญ่ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
- ปลาที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลานิล, ปลาทับทิม, ปลากะพง สามารถบริโภคได้ในปริมาณที่เหมาะสม
- น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก, น้ำมันรำข้าว ควรใช้ในการประกอบอาหารแทนน้ำมันจากสัตว์
การรวมเอาอาหารเหล่านี้เข้ามารวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการ และลดความเสี่ยงของกรดยูริคสูงและโรคเกาต์ได้อย่างยั่งยืน
2. กรดยูริคสูง ห้ามกินอะไรบ้าง
สำหรับผู้ที่มีกรดยูริคสูง หรือเป็นโรคเกาต์ การควบคุมอาหารเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อลดการสร้างกรดยูริคในร่างกาย และป้องกันอาการกำเริบของโรค อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณ คืออาหารที่มีสารพิวรีน (Purine) สูง ซึ่งเมื่อถูกย่อยสลายแล้วจะกลายเป็นกรดยูริคในร่างกาย มาดูลิสต์อาหารที่ผู้มีกรดยูริคสูง ห้ามกิน หรือควรกินให้น้อยที่สุดมีอะไรบ้าง
- เครื่องในสัตว์ทุกชนิด นี่คือกลุ่มอาหารที่มีพิวรีนสูงที่สุด ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด! ได้แก่ ตับ, ไต, ตับอ่อน, ม้าม, หัวใจ, สมอง, ไส้, กึ๋น, เซ่งจี๊ รวมถึงอาหารที่ทำจากเครื่องใน เช่น ไส้กรอกอีสาน, ซุปเครื่องใน, หรือน้ำเกรวีที่ทำจากเนื้อสัตว์และเครื่องใน
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แอลกอฮอล์จะไปเพิ่มการสร้างกรดยูริค และลดประสิทธิภาพการขับกรดยูริคออกจากร่างกายทางไต ควรหลีกเลี่ยงเหล้า เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเด็ดขาด
- อาหารทะเลบางชนิด กลุ่มนี้มีพิวรีนสูง ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณอย่างมาก ได้แก่ หอยทุกชนิด (โดยเฉพาะหอยแมลงภู่ หอยเชลล์), ปลาซาร์ดีน, ปลาไส้ตัน, ปลากะตัก, ปลาอินทรี, ไข่ปลา, ปลาหมึก, ปู, กุ้งมังกร ปลาแซลมอนและกุ้ง แม้จะมีพิวรีนในระดับปานกลาง แต่ก็ควรระมัดระวังและไม่ควรกินในปริมาณมาก
- น้ำหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง น้ำตาลฟรุกโตส สามารถกระตุ้นการผลิตกรดยูริคในร่างกายได้โดยตรง ได้แก่ น้ำอัดลม, น้ำหวาน, น้ำผลไม้เข้มข้น, ชานมไข่มุก, ขนมหวาน, ลูกอม, ไซรัปต่างๆ ที่มี High-Fructose Corn Syrup (HFCS) เป็นส่วนประกอบ
- เนื้อแดงและสัตว์ปีกบางชนิด เนื้อหมู, เนื้อวัว, เนื้อเป็ด, เนื้อห่าน, เนื้อไก่ (โดยเฉพาะส่วนหนัง) มีพิวรีนค่อนข้างสูง ควรจำกัดปริมาณ หลีกเลี่ยงน้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูกหรือเนื้อสัตว์เข้มข้น เพราะสารพิวรีนจะละลายออกมาอยู่ในน้ำซุป
- ยอดผักและผักบางชนิดที่มีพิวรีนสูง แม้จะเป็นผัก แต่บางชนิดก็มีพิวรีนสูง ควรจำกัดหรือหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่อาการกำเริบ ได้แก่ ชะอม, กระถิน, เห็ดทุกชนิด, หน่อไม้, หน่อไม้ฝรั่ง, ดอกกะหล่ำ, ผักโขม, สะตอ, ใบขี้เหล็ก
- ถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด ถั่วแดง, ถั่วเขียว, ถั่วเหลือง (รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองบางชนิด เช่น น้ำเต้าหู้ที่ไม่ได้สกัดพิวรีนออก), ถั่วดำ, ถั่วลิสง, ถั่วลันเตา และเมล็ดพืชที่งอกได้ก็มียูริคสูง ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารแปรรูปและอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอด, อาหารมัน ๆ, อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริคได้ยากขึ้น รวมถึง กะปิ, ยีสต์, ซุปก้อน, น้ำสกัดเนื้อ ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมระดับกรดยูริค ลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
3. วิธีลดกรดยูริคและป้องกันโรคเกาต์ นอกเหนือจากอาหาร
การดูแลตัวเองเพื่อลดกรดยูริคและป้องกันโรคเกาต์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น ยังมีปัจจัยและพฤติกรรมอื่น ๆ ที่คุณสามารถทำได้ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี และลดความเสี่ยงของโรคนี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือจะเรียกได้ว่า เป็นวิธีลดกรดยูริคแบบธรรมชาติก็ว่าได้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไปหรือภาวะอ้วน มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับระดับกรดยูริคที่สูงขึ้น การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสม่ำเสมอ จะช่วยลดระดับกรดยูริคในร่างกายได้อย่างเห็นผล และยังลดภาระของข้อต่อต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักแบบหักโหมหรืออดอาหาร เพราะการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปอาจทำให้กรดยูริคพุ่งสูงขึ้นชั่วคราวได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่เพียงช่วยควบคุมน้ำหนัก แต่ยังช่วยให้ระบบเผาผลาญ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้ร่างกายขับของเสีย รวมถึงกรดยูริคออกไปได้ดียิ่งขึ้น ลองเลือกการออกกำลังกายแบบเบาถึงปานกลาง เช่น เดินเร็ว โยคะ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ สัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละประมาณ 30 นาที
- จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงาน ของร่างกายหลายส่วน รวมถึงระบบการเผาผลาญและการขับของเสีย การเรียนรู้วิธีจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การทำสมาธิ ฝึกหายใจ เล่นโยคะ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้สมดุลมากขึ้น และอาจส่งผลดีต่อระดับกรดยูริค
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ แม้จะอยู่ในหมวดเครื่องดื่ม แต่อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ (อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเจือจางกรดยูริคในเลือด และช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการขับกรดยูริคส่วนเกินออกทางปัสสาวะ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ จึงช่วยป้องกันการตกตะกอน ของผลึกกรดยูริคในข้อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
- ปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำ หากคุณมีประวัติกรดยูริคสูง หรือเคยมีอาการของโรคเกาต์ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แพทย์จะสามารถวินิจฉัย ประเมินความรุนแรงของโรค และพิจารณาการใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมระดับกรดยูริค ซึ่งอาจรวมถึงยาที่ช่วยลดการสร้างกรดยูริค หรือยาที่ช่วยเพิ่มการขับกรดยูริค การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้
โรคเกาต์เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ด้วยการดูแลตัวเอง การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดกรดยูริค และลดความเสี่ยงของการกำเริบของโรค การใส่ใจในสิ่งที่เรากิน ดื่มน้ำให้เพียงพอ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น และห่างไกลจากความทรมานของโรคเกาต์ได้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษาไว้ล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตโรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน สามารถเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 23/05/68
🔖 POBPAD