ประโยชน์ของมะม่วงดิบ และสุก กินอย่างไรให้ได้คุณค่า ไม่เพิ่มพุง
ประโยชน์ของมะม่วงไม่ได้มีดีแค่รสชาติถูกปาก แต่ยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ช่วยดูแลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงดิบที่มีความเปรี้ยวสดชื่น หรือ มะม่วงสุกที่หอมหวานละมุน แต่ก็ใช่ว่าเราจะกินได้ตามอำเภอปากโดยไม่ทราบข้อมูลของมะม่วงว่ามีประโยชน์อย่างไร และข้อควรระวังในการกินเป็นยังไงบ้าง จะช่วยให้เพลิดเพลินกับผลไม้ชนิดนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
ประโยชน์ของมะม่วง
มะม่วง ผลไม้คู่บ้านคู่ครัวของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ในจานยำรสแซ่บ หรือ ในข้าวเหนียวมะม่วงหอมหวาน ก็ล้วนแต่ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย แต่รู้ไหมว่า “ประโยชน์ของมะม่วง” นั้นไม่ได้มีแค่ความอร่อยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงดิบ หรือ มะม่วงสุก ต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการที่น่าสนใจ และแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ เปรี้ยวแต่ดีต่อสุขภาพ
- ช่วยย่อยอาหาร กรดอินทรีย์ในมะม่วงดิบ เช่น กรดซิตริก และกรดแอสคอร์บิก มีส่วนช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะเวลาทานของมัน หรือ เนื้อสัตว์
- วิตามินซีสูง มะม่วงดิบมีวิตามินซีมากกว่ามะม่วงสุก ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น เหมาะกับคนที่มีภาวะโลหิตจาง
- ลดความอยากอาหารจุกจิก รสเปรี้ยวของมะม่วงดิบช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระตุ้นความรู้สึกอิ่มเร็ว เหมาะกับสายไดเอทที่ต้องการควบคุมการกินจุบจิบ
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (หากกินในปริมาณพอดี) แม้จะมีคาร์โบไฮเดรต แต่เนื่องจากดิบอยู่ ยังไม่มีน้ำตาลฟรุกโตสมากเท่ามะม่วงสุก เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลแบบพอดี ๆ
ประโยชน์ของมะม่วงสุก หวานละมุนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
- เบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา และผิวพรรณ มะม่วงสุกให้สีเหลืองสวยจากสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็นวิตามินเอได้ ช่วยบำรุงสายตา และเสริมการสร้างคอลลาเจนในผิว
- ไฟเบอร์สูง ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง เนื้อหวาน ๆ ของมะม่วงสุกแฝงใยอาหารไว้สูงพอสมควร เหมาะกับคนที่มีปัญหาท้องผูก หรือ ระบบขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ
- เติมพลังทันใจ มะม่วงสุกมีน้ำตาลธรรมชาติอย่างกลูโคส และฟรุกโตส ช่วยให้ร่างกายดูดซึมพลังงานได้เร็ว เหมาะกับการกินก่อนออกกำลังกาย หรือ ช่วงที่ต้องการรีเฟรชแบบเร่งด่วน
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ และสารโพลีฟีนอลในมะม่วงสุก ล้วนมีบทบาทสำคัญในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดโอกาสเกิดโรคเรื้อรัง
มะม่วงกินแล้วอ้วนไหม? มะม่วงสุก และดิบมีกี่แคลอรี่?
รู้ก่อนหยิบเข้าปาก มะม่วง เป็นผลไม้ที่หลายคนรัก จะกินแบบดิบแซ่บ ๆ หรือ นุ่มละมุนแบบสุก ก็อร่อยถูกใจ แต่พอเอ่ยถึงคำว่า หวาน หลายคนก็เริ่มลังเล กินแล้วจะอ้วนไหมนะ? ความจริงแล้ว มะม่วงไม่ใช่ผลไม้ต้องห้ามสำหรับคนรักหุ่น แต่ วิธีกิน และ ปริมาณ ต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ ลองมาดูกันแบบชัด ๆ ว่ากินมะม่วงแล้วอ้วนไหม และควรเลือกแบบไหนให้ได้ประโยชน์โดยไม่เพิ่มรอบเอว
- มะม่วงสุก
- มะม่วงสุก 100 กรัม ให้พลังงานราว 93 กิโลแคลอรี
- จุดสำคัญคือปริมาณน้ำตาลธรรมชาติที่สูง เช่น ฟรุกโตส และกลูโคส
ถ้ากินในปริมาณมากโดยไม่ได้เผาผลาญออก เช่นนั่งทำงานทั้งวัน หรือ ไม่ออกกำลังกาย น้ำตาลเหล่านี้ก็มีโอกาสแปรรูปเป็นไขมันสะสมได้ง่าย
- มะม่วงดิบ
- มะม่วงดิบ 100 กรัม หรือประมาณครึ่งผล ให้พลังงานเพียง 60-70 แคลอรี
- มะม่วงดิบ เช่น เขียวเสวย หรือ แรด มีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่ามะม่วงสุก
แต่ปัญหาของมะม่วงดิบคือ ของแกล้ม อย่างน้ำปลาหวาน พริกเกลือ หรือ กะปิที่หลายคนชอบกินคู่กัน รู้หรือไม่ว่าเป็นตัวเพิ่มโซเดียม และน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้ากินเปล่า ๆ แบบไม่จิ้ม มะม่วงดิบถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนคุมน้ำหนัก แต่ถ้าเผลอจิ้มน้ำปลาหวานก็อาจบอกลาแผนลดพุงได้เลย
โทษของมะม่วงที่ควรระวัง (ถ้ากินเกินพอดี)
สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือด เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือ คนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก การกินมะม่วงควรใส่ใจเรื่องปริมาณน้ำตาลให้มากเป็นพิเศษ
- มะม่วงดิบ มีน้ำตาลน้อยกว่ามะม่วงสุก แต่ถ้าจะกิน ควรเลี่ยงการจิ้มกับเครื่องเคียงหวานเค็มอย่างพริกเกลือ หรือ น้ำปลาหวาน เพราะของจิ้มเหล่านี้ต่างหากที่แอบซ่อนน้ำตาลไว้เพียบ
- หากชอบมะม่วงสุก ควรจำกัดปริมาณไว้ที่ประมาณครึ่งลูกกลาง หรือ หนึ่งลูกเล็กต่อครั้ง จะช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการจับคู่กับของหวานหนัก ๆ อย่างข้าวเหนียวมูน กะทิ ไอศกรีม หรือ ของหวานอื่น ๆ ที่ทำให้มื้อของว่างกลายเป็นระเบิดน้ำตาลแบบไม่รู้ตัว
- อย่าหลงกลมะม่วงแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นน้ำมะม่วง มะม่วงกวน มะม่วงอบแห้ง หรือ ของหวานสไตล์ฟิวชันอย่างพุดดิ้งมะม่วง เพราะสิ่งเหล่านี้มักผ่านการเติมน้ำตาลในการผลิต ทำให้ได้รับพลังงานแฝงที่อาจมากเกินจำเป็น
- ส่วนผู้มีปัญหาท้องอืด ควรทานครึ่งลูก หรือ 1 ลูกเล็กหลังมื้ออาหาร ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องอืด รู้สึกอึดอัดเหมือนอาหารไม่ย่อยได้
แนะนำเมนูมะม่วงดีต่อสุขภาพ
เนื่องจากมะม่วงเป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ง่าย และมีคุณค่าหลากหลาย สำหรับบ้านไหนที่มีมะม่วงติดครัวไว้เป็นประจำอยู่แล้ว ก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นเมนูอร่อย ๆ ได้หลากหลายแบบ เช่น
- ยำมะม่วงปลาแซลมอน
วัตถุดิบ: ปลาแซลมอนสดหั่นบาง มะม่วงดิบ หรือ มะม่วงมันซอยเป็นเส้น (แช่น้ำเย็นไว้ให้กรอบ) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด หอมแดง ต้นหอม น้ำปลา น้ำมะนาว และพริกป่น
วิธีทำ: ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว พริกป่น และหอมแดงเข้าด้วยกัน ปรุงให้ได้รสที่ชอบ จากนั้นใส่มะม่วงซอยคลุกเบา ๆ แล้วตักราดลงบนปลาแซลมอนที่จัดใส่จานไว้ โรยต้นหอมกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้านบนอีกครั้ง เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟ เมนูนี้นอกจากได้คุณค่าจากมะม่วงแล้ว ยังอุดมไปด้วยโปรตีน และไขมันดีจากแซลมอน เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
- น้ำมะม่วงสมูทตี้โยเกิร์ต
วัตถุดิบ: เนื้อมะม่วงสุก 100 กรัม น้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ (ปรับตามชอบ) โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 50 กรัม น้ำแข็งบดตามปริมาณแก้ว และมะม่วงสุก หรือ ใบสะระแหน่สำหรับตกแต่ง
วิธีทำ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนียนเข้ากัน แล้วเทใส่แก้ว ตกแต่งด้วยเนื้อมะม่วง หรือ ใบสะระแหน่ตามต้องการ เมนูนี้ช่วยเติมวิตามินซีให้ร่างกาย และยังดีต่อระบบขับถ่ายอีกด้วย
- สลัดมะม่วงสายบัว
วัตถุดิบ: มะม่วงสุกหั่นเต๋า สายบัวหั่นเฉียง (ลวกสุก) เปลือกมะนาวสับ มะเขือเทศสีดา น้ำส้มสายชูจากน้ำผึ้ง น้ำมะนาว น้ำมันมะกอก (อาจเพิ่มพริกแดง หอมแดง ผักชีลาว และสะระแหน่ตามชอบ)
วิธีทำ: ผสมน้ำยำให้ได้รสเปรี้ยวหวาน เค็มเล็กน้อย จากนั้นใส่สายบัว มะม่วง และผักต่าง ๆ คลุกให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เป็นเมนูเบา ๆ ที่ให้ความสดชื่น และดีต่อสุขภาพ
มะม่วงเป็นผลไม้ที่อร่อย และมีประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะดิบ หรือ สุกก็มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือ เลือกกินคู่กับของหวานอื่น ๆ ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก หรือ ควบคุมน้ำตาลในเลือด เพราะฉะนั้น การกินมะม่วงให้ พอดี และพอเหมาะ คือหัวใจสำคัญที่จะได้สุขภาพดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน
แต่อย่าลืมว่า นอกจากดูแลเรื่องอาหารแล้ว การวางแผนสุขภาพไว้ล่วงหน้าก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะค่ารักษาพยาบาลในอนาคตไม่ใช่เรื่องเล็ก ป้องกันความเสี่ยง หากเจ็บป่วยขึ้นมาค่ารักษาอาจบานปลาย ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่ายจากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท เจ็บป่วยก็เบาใจกับค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 16/04/68
🔖 medthai
🔖 sanook
🔖 hd