รู้ก่อนตรวจ! MRI คืออะไร ตรวจส่วนไหนได้บ้าง
การตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคแต่ละครั้ง อาจจะมีการตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ร่วมด้วย หลายคนคงคิดว่าเป็นการตรวจหาโรคมะเร็งเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่าการตรวจ MRI ยังสามารถตรวจวินิจฉัยหาความผิดปกติในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย ทั้งมีความแม่นยำ ตรงจุด เเละเป็นการตรวจทางการแพทย์ที่ไม่ทำให้เจ็บปวดอีกด้วย ซึ่งช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาโรคได้ง่ายขึ้น วันนี้เมืองไทยประกันชีวิตจึงมีข้อมูลของ การตรวจร่างกายด้วยเครื่อง MRI มาฝาก ว่ามีข้อดีอย่างไร แล้วตรวจอะไรได้บ้าง ตามมาดูกัน
MRI คืออะไร ทำงานอย่างไร?
ในการตรวจ MRI หลายคนคงนึกถึงภาพที่ต้องนอนในอุโมงค์ แล้วถูกสแกนร่างกายด้วยรังสี ซึ่งจริง ๆ แล้ว MRI จะไม่ใช้รังสีในการตรวจ แต่จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตรวจสอบความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย มีความละเอียด ให้ความคมชัดสูง ทำให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายได้อย่างแม่นยำ ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง
MRI ตรวจส่วนไหนได้บ้าง
การตรวจ MRI สามารถตรวจได้ทุกส่วนของอวัยวะภายในร่างกาย หากมีค่าไฮโดรเจน เเต่ก็จะมีความเเตกต่างกันไป เพราะว่าบางอวัยวะจะมีค่าไฮโดรเจนมากหรือมีค่าไฮโดรเจนน้อย ขึ้นอยู่กับความต่างของอวัยวะนั้น ๆ โดย MRI สามารถตรวจอวัยวะได้ดังนี้
- สมอง เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ สมองเสื่อม โรคอัมพฤกษ์ อัมพาตปวดศีรษะเรื้อรัง
- ช่องท้อง เช่น โรคมะเร็งตับ ความผิดปกติของมดลูก เนื้องอกในช่องท้อง นิ่วเเละต่อมลูกหมาก
- กระดูกสันหลัง เช่น กระดูกสันหลังเสื่อม หมองรองกระดูกเเขน ขาอ่อนเเรง กระดูกทับเส้น เเละปวดหลังเรื้อรัง
- กระดูกและข้อ เช่น ข้อเข่าเสื่อม การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
- เส้นเลือด เช่น ความผิดปกติของการอุดตัน หรือโป่งพองของระบบเส้นเลือด
ตรวจ MRI ดีอย่างไร
นอกจาก MRI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์วินิจัยโรคได้อย่างแม่นยำ และขั้นตอนการตรวจก็ไม่ก่อให้ร่างกายเกิดควาเจ็บปวดแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น
- เป็นการตรวจที่ไม่มีอันตรายและไม่ใช้รังสีในการสร้างภาพ
- สามารถสร้างภาพของระบบประสาทได้อย่างชัดเจนและมีรายละเอียดดี โดยเฉพาะส่วนสมอง คอ และ กระดูกสันหลังทําให้ได้ภาพที่ดีกว่าการตรวจทางรังสีอื่น ๆ
- สามารถวินิจฉัยรอยโรคที่เกิดในตับได้ดีกว่าการตรวจด้วยเครื่องมืออื่น ๆ
- สามารถวินิจฉัยรอยโรคหรือความผิดปกติเกี่ยวกับมะเร็ง หัวใจ โรคเกี่ยวกับเส้นเลือด กระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการตรวจด้วยเครื่องมืออื่น ๆ
- สามารถสร้างภาพเส้นเลือดได้โดยไม่ต้องฉีดสี
- ยา (สี) ที่ใช้ใน MRI มีโอกาสแพ้น้อยกว่าที่ใช้ กับทางเอกซเรย์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computed tomography scan หรือ CT Scan)
- สามารถทําเทคนิคพิเศษเพื่อตรวจดูข้อมูลของสารเคมีบางชนิดได้
MRI vs CT Scan ต่างกันหรือไม่?
เมื่อรู้รายละเอียดของการตรวจ MRI แล้ว บางคนอาจจะสงสัยว่าระหว่างการตรวจร่างกายด้วย MRI กับ CT Scan มีความคล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองแบบนี้จะมีความแตกต่างกันดังนี้
- CT Scan ใช้รังสี และใช้ระยะเวลาการตรวจน้อย ประมาณ 10-15 นาที ในการตรวจอวัยวะนั้น ๆ โดยจะเป็นการตรวจวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับกระดูก ปอด การบาดเจ็บของอวัยวะภายใน เนื้องอก เป็นต้น แต่กระบวนการเหล่านี้จำเป็นต้องฉีดสารทึบรังสี เพื่อเพิ่มความชัดเจนของภาพ ซึ่งอาจมีบางรายที่แพ้สารทึบรังสี หรือมีโอกาสทำให้เกิดพิษกับไตได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม ผู้สูงอายุ
- MRI ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการตรวจ จะทำให้เห็นรายละเอียดของการทำงานในระดับเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ได้มากกว่า และบอกรายละเอียดของความผิดปกติได้ดีกว่า CT Scan โดยการตรวจแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30-90 นาที ซึ่งสามารถตรวจอวัยวะในร่างกายได้ทุกส่วน แต่การตรวจ MRI ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยผ่าตัดติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือโลหะภายในร่างกายบางชนิด เนื่องจากผู้รับการตรวจจะต้องเข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ จึงจำเป็นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนรับการตรวจ MRI
แต่ไม่ว่าจะเป็นการตรวจแบบไหนก็ช่วยให้มั่นใจได้ ว่าเราสามารถดูแลสุขภาพได้ตรงจุดมากขึ้น พร้อมเสริมความมั่นใจด้วย ความคุ้มครองเหมาจ่ายวงเงินสูง Elite Health Plus เจ็บป่วยเลือกรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด เหมาจ่ายตามจริง 20 - 100 ล้านบาทต่อปี ดูแลครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง มะเร็ง หัวใจ ไต โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ
✔ คุ้มครองวงเงินสูง เหมาจ่ายตามจริง 20 - 100 ล้านบาทต่อปี
✔ คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ
✔ นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล
✔ คุ้มครองครบทั้ง IPD และ OPD(1) เบี้ยวันละไม่ถึง 94 บาท(2)
✔ ครอบคลุมการรักษาโรคมะเร็ง ทั้งแบบเคมีบำบัดและแบบออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy) รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy การวินิจฉัย MRI และการฟอกไต โดยไม่ต้องแอดมิท
✔ สมัครได้ถึงอายุ 90 ปี ดูแลถึงอายุ 99 ปี
✔ ซื้อความคุ้มครองเสริมพิเศษเพิ่มได้ ตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
(1) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 40, 75 หรือ 100 ล้านบาท
(2) สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุ 34 ปี แผน 20 ล้านบาท พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
- สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่
- ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
- เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
- ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน หมายถึง ค่าห้องพักเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลในประเทศไทย
- เงื่อนไขเป็นไปตามมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกำหนด
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : โรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลนครธน