โรคกลัวน้ำ (โรคพิษสุนัขบ้า) ไม่ใช่เรื่องไกลตัว รู้ทันอาการ ป้องกันได้
ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ มีโรคหนึ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ นั่นก็คือโรคกลัวน้ำหรือ โรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในชีวิตประจำวันของเรา อาจมีการสัมผัสกับสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างสุนัขและแมว โดยเฉพาะเมื่อถูกกัดหรือข่วน อาจทำให้เป็น "โรคพิษสุนัขบ้า" ได้ ซึ่งโรคนี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ และเมื่อแสดงอาการแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งยังคงมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศไทยอยู่ทุกปี ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงหรือไม่ก็ตาม การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยร้ายนี้ได้
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. สาเหตุและการติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
2. อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในระยะต่าง ๆ
4. การดูแลและการรักษาหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า
1. สาเหตุและการติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
โรคกลัวน้ำ หรือที่รู้จักกันในชื่อโรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies virus) ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงคนด้วย โรคนี้มีอันตรายถึงชีวิต และเมื่อแสดงอาการแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายได้
สาเหตุหลักของการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า
- การสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อไวรัสเรบีส์กัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีบาดแผล ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล และเดินทางไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
- สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค สุนัขและแมวเป็นสัตว์ที่นำโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คนได้บ่อยที่สุด รวมถึงสัตว์อื่น ๆ ที่เป็นพาหะนำโรคได้ เช่น ค้างคาว สัตว์ป่า (เช่น ลิง ชะนี กระรอก) และสัตว์เลี้ยง (เช่น วัว ควาย ม้า)
การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
- การถูกกัด เป็นช่องทางการติดต่อหลัก โดยน้ำลายที่มีเชื้อไวรัสจะเข้าสู่บาดแผล
- การถูกข่วน แม้จะไม่รุนแรงเท่าการถูกกัด แต่ก็สามารถทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้
- การถูกเลียบริเวณที่มีบาดแผล น้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อไวรัส สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลได้
- การสัมผัสกับเนื้อเยื่อที่มีเชื้อไวรัส ในกรณีที่พบได้น้อย เช่น การสัมผัสกับสมองหรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อ
2. อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในระยะต่าง ๆ
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะเดินทางไปตามเส้นประสาทส่วนปลาย เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งอาการของโรคพิษสุนัขบ้าแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
1. ระยะฟักตัว (Incubation Period)
- ระยะนี้ผู้ป่วยจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ
- ระยะฟักตัวอาจนานตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ ถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณเชื้อที่ได้รับ ความรุนแรงของบาดแผล ตำแหน่งที่ถูกกัด และภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล
- โดยทั่วไป ระยะฟักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 เดือน
2. ระยะอาการนำ (Prodromal Stage)
- ระยะนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการที่ไม่จำเพาะ คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย วิตกกังวล อาการที่สำคัญคือ คัน ชา หรือเจ็บแปลบๆ บริเวณแผลที่ถูกกัด ซึ่งระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-10 วัน
3. ระยะอาการทางประสาท (Neurological Stage)
- ระยะนี้เป็นระยะที่อาการทางระบบประสาทปรากฏชัดเจน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
- รูปแบบคลุ้มคลั่ง (Furious Rabies) จะมีอาการกระสับกระส่ายอย่างมาก กลัวแสง กลัวลม กลัวน้ำ (Hydrophobia) เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืนหดเกร็ง สับสน คลุ้มคลั่ง อาละวาด มีพฤติกรรมก้าวร้าว น้ำลายไหลมาก ชักเกร็ง
- รูปแบบอัมพาต (Paralytic Rabies) มีอาการ อ่อนแรง หรืออัมพาต เริ่มจากบริเวณที่ถูกกัด แล้วลามไปทั่วร่างกาย กลืนลำบาก พูดลำบาก ซึมลง ไม่แสดงอาการกลัวน้ำ ซึ่งระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-7 วัน
4. ระยะสุดท้าย (Coma and Death)
- ผู้ป่วยจะซึมลง ไม่รู้สึกตัว และเข้าสู่ภาวะโคม่า
- ระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
- เสียชีวิตในที่สุด
3. วิธีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิต การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิธีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ๆ ดังนี้
1. การป้องกันก่อนสัมผัสโรค (Pre-exposure prophylaxis)
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์ป่า ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
- การฉีดวัคซีนจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เมื่อถูกสัตว์กัดหรือสัมผัสโรค จะไม่ป่วยหรือมีอาการรุนแรงน้อยลง
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เสี่ยง
- ไม่เข้าใกล้สัตว์ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะสัตว์จรจัด หรือสัตว์ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ
- ไม่แหย่ หรือแกล้งสัตว์ เพราะอาจทำให้สัตว์ตกใจและกัดได้
- หากพบสัตว์ที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สัตว์ที่มีน้ำลายไหลยืด เดินโซเซ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที
2. การป้องกันหลังสัมผัสโรค (Post-exposure prophylaxis)
- การล้างแผล
- หากถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีบาดแผล ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที ประมาณ 15 นาที
- ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน หรือแอลกอฮอล์ 70%
- การพบแพทย์
- รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการประเมินบาดแผล และรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หรือเซรุ่ม (Rabies immunoglobulin) ตามความจำเป็น
- แพทย์จะพิจารณาการให้วัคซีนตามความเสี่ยงของการติดเชื้อ โดยจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ที่กัด และลักษณะบาดแผล
- การสังเกตอาการสัตว์
- หากเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ ให้สอบถามประวัติการฉีดวัคซีนของสัตว์
- หากเป็นสัตว์จรจัด หรือไม่ทราบประวัติ ให้สังเกตอาการสัตว์เป็นเวลา 10 วัน หากสัตว์ตาย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าทีสาธารณสุขเพื่อนำซากไปตรวจหาเชื้อ
- การฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยง
- นำสัตว์เลี้ยงของท่านไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนด และฉีดซ้ำทุกปี
- ไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยงไปในที่สาธารณะโดยไม่มีสายจูง
- ควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยงไม่ให้มีมากเกินไป
4. การดูแลและการรักษาหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า
การดูแลและรักษาหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะโรคนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต และไม่มีทางรักษาให้หายขาดเมื่อแสดงอาการแล้ว การดูแลและรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
1. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ล้างแผลทันที ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลาย ๆ ครั้ง อย่างน้อย 15 นาที โดยล้างให้ลึกถึงก้นแผล เพื่อลดปริมาณเชื้อไวรัสที่อาจปนเปื้อนในบาดแผล
- ใส่ยาฆ่าเชื้อ หลังจากล้างแผลสะอาดแล้ว ให้ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน (Povidone-iodine) หรือแอลกอฮอล์ 70% เพื่อฆ่าเชื้อโรค
- ไม่ควรเย็บแผล หลีกเลี่ยงการเย็บแผลโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
2. การรักษาทางการแพทย์
- พบแพทย์ทันที หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการประเมินความเสี่ยงและรับการรักษาที่เหมาะสม
- วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แพทย์จะพิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยจะฉีดวัคซีนตามกำหนดนัดหมาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส
- อิมมูโนโกลบูลิน (Rabies Immunoglobulin) ในกรณีที่สัมผัสโรคที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้อิมมูโนโกลบูลิน ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสทันที
- การสังเกตอาการ หลังจากได้รับการรักษาแล้ว ควรสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ปวดหัว หรืออาการทางระบบประสาท ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
3. การสังเกตอาการสัตว์ที่สัมผัส
- สังเกตอาการสัตว์ หากเป็นไปได้ ควรสังเกตอาการของสัตว์ที่สัมผัสอย่างน้อย 10 วัน หากสัตว์แสดงอาการผิดปกติหรือเสียชีวิต ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
- แจ้งประวัติการฉีดวัคซีน หากทราบประวัติการฉีดวัคซีนของสัตว์ที่สัมผัส ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อประกอบการพิจารณาการรักษา
4. การดูแลตนเอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- หลีกเลี่ยงความเครียด ความเครียดอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ ทาสแมวต้องรู้ วิธีดูแลตัวเองเมื่อโดนแมวข่วน หรือ แมวกัด
และอย่าลืมว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์เลี้ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคนี้ หากถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีบาดแผล ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะหากป่วยแล้วอาจเสียทั้งเวลา และเสียค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย ดังนั้น มาเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษาไว้ล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตโรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน สามารถเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 03/04/68
🔖 รพ. ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์