10 สรรพคุณของน้ำขิง ประโยชน์จัดเต็ม ทำดื่มเองได้ง่าย ๆ
น้ำขิง เครื่องดื่มแก้วโปรดของคนรักสุขภาพสามารถหากินได้ง่าย ๆ สรรพคุณของน้ำขิง นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะในขิงมีทั้งวิตามิน เอ บี เเละ ซี สูง เเละยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายทั้ง เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก เเคลเซียม ฟอสฟอรัส วันนี้แอดเลยอยากจะมาแชร์ ประโยชน์ของน้ำขิง ที่น่าสนใจให้ทุกคนได้รู้กัน รวมถึงข้อห้ามที่ใครไม่ควรดื่มน้ำขิง หรือโรคที่ไม่ควรดื่มน้ำขิง และน้ำขิงดื่มก่อนหรือหลังอาหาร ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เริ่ม!
1. 10 สรรพคุณของน้ำขิง หรือ ประโยชน์ของน้ำขิง มีอะไรบ้าง
2. ใครที่ไม่ควรดื่มน้ำขิง บ้าง
3. ดื่มน้ำขิงอย่างไรให้ปลอดภัย
4. สูตรน้ำขิงง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน
1. 10 สรรพคุณของน้ำขิง หรือ ประโยชน์ของน้ำขิง มีอะไรบ้าง
สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ การดื่มน้ำขิงทุกวันถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องดื่มที่สามารถหาซื้อหรือทำเองได้ง่าย ๆ และ สรรพคุณของน้ำขิง ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ดังนี้
1. บรรเทาอาการหวัด ป้องกันโรคหวัด
สรรพคุณของน้ำขิง ช่วยบรรเทาอาการหวัด และป้องกันโรคหวัดได้ เพราะในน้ำขิงมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำขิง จะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ ประโยชน์ของน้ำขิง ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อมากขึ้น ทำให้อุณหภูมิความร้อนในร่างกายลดลง นอกจากนี้ น้ำขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายของเราห่างไกลจากโรคหวัดได้เป็นอย่างดี
2. กระตุ้นระบบย่อยอาหาร
สำหรับผู้ที่มีอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร จุกเสียด แน่นท้อง ท้องเฟ้อ ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย ประโยชน์ของน้ำขิง จะช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำย่อยออกมา การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ จึงช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารของเราให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. บำรุงฟันและช่องปาก
สรรพคุณของน้ำขิง จะช่วยกำจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุ หินปูน และโรคเหงือก เพราะในน้ำขิงมีสารจิงเกอร์รอล ที่จะช่วยกำจัดเชื้อโรค ที่เป็นสาเหตุของโรคในช่องปากเเละลดการเกิดคราบต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยบำรุงฟันของเราให้สุขภาพดีอีกด้วย
4. แก้วิงเวียน ปวดศีรษะและไมเกรน
น้ำขิงช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานได้ปกติ หากได้รับอาหารหรือสารเคมีที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน การดื่มน้ำขิงที่อุดมไปด้วยสารจินเจอรอลและโชกาออล จะช่วยบรรเทาและต่อต้านอาการเหล่านี้ได้ อีกทั้ง สรรพคุณของน้ำขิง ยังช่วยเพิ่มเซโรโทนินในสมอง โดยสารเซโรโทนินสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้
5. บรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย
ประโยชน์ของน้ำขิง มีส่วนช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ชื่อว่า อีโคไล ที่พบได้ในลำไส้ และแบคทีเรียตัวนี้เป็นต้นเหตุของอาการท้องร่วง นอกจากนี้ ขิงยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันการสะสมของของเหลวในลำไส้ ที่ส่งผลให้เกิดอาการท้องร่วงอีกด้วย
6. ควบคุมน้ำหนัก ต้านเบาหวาน
สรรพคุณของน้ำขิง ช่วยปรับระดับไขมันในเลือดได้ ทำให้สามารถป้องกันเบาหวาน หรือคนที่เป็นเบาหวานประเภทที่สอง ก็สามารถกินขิงในมื้ออาหารได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น และน้ำขิงยังช่วนกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย การดื่มน้ำขิงจึงนับเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ สำหรับกลุ่มคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย
7. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
มีการศึกษาวิจัยที่ระบุว่า สรรพคุณของน้ำขิง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เพราะขิงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เเละมีสรรพคุณต้านการอักเสบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังมีสารเคมีจากธรรมชาติที่จะไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์ กลูต้าไธโนเอส ทรานส์เฟอร์เรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มที่สามารถลดโอกาสในการเกิดเซลล์มะเร็ง
8. ต้านไวรัส
น้ำขิงมีประโยชน์ในการต้านเชื้อไวรัสต่าง ๆ ในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขิง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ อีกทั้งยังลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้
9. ช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์
สรรพคุณของน้ำขิง มีประโยชน์ในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะในน้ำขิง มีทั้งวิตามินซี วิตามินบี ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวถูกทำลาย มีแร่ธาตุอย่างฟอสฟอรัสและเเมกนีเซียม ที่ช่วยในเรื่องการบำรุงรักษากระดูก และบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม นอกจากนี้ สรรพคุณของนำขิง ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังและช่วยบำรุงต่อมหมวกไต ทำให้หลายคนนิยมดื่มน้ำขิงเพื่อช่วยชะลอวัย ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และร่างกายแข็งแรงแม้อายุจะเพิ่มมากขึ้น
10. บรรเทาอาการอักเสบ
นอกจากจะช่วยชะลอวัยแล้ว ในน้ำขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระกว่า 40 ชนิด ที่สามารถลดอาการอักเสบภายใน
2. ใครที่ไม่ควรดื่มน้ำขิงบ้าง
แม้น้ำขิงจะเป็นสมุนไพรมากสรรพคุณ แต่ในคนบางกลุ่มหรือผู้ป่วย โรคที่ไม่ควรดื่มน้ำขิง ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิง เช่น
- ผู้ที่มีภาวะอ่อนเพลียหรือนอนหลับไม่สนิท เพราะน้ำขิงมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายของเราตื่นตัว อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดหรือศัลยกรรม เพราะน้ำขิงมีผลต่อการหยุดไหลของเลือด อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า บางครั้งอาจทำให้แผลหายช้า บวมหรืออักเสบได้
- ผู้ที่ใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพลิน
- สตรีมีครรภ์ เพราะน้ำขิงมีฤทธิ์เผ็ดร้อน อาจส่งผลให้ร่างกายของมารดามีอุณหภูมิสูงขึ้น จนอาจส่งผลกับบุตรในครรภ์ นอกจากนี้น้ำขิงยังสามารถส่งผลถึงน้ำนม จึงไม่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรเพราะอาจส่งผลให้เด็กแพ้ได้เช่นเดียวกัน
- ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ การดื่มน้ำขิงจะทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง อาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เกิดอาการวูบ เป็นลม หรือหมดสติได้
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ระบบไหลเวียนโลหิต เพราะจะทำให้หลอดเลือดหนาตัวขึ้น อาจนำมาสู่การเกิดโรคฮีโมฟีเลีย หรือภาวะเลือดออกง่าย แข็งตัวยาก เกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่มได้
- ผู้ที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการดื่มน้ำขิงจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดีออกมามากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตันของน้ำดี
3. ดื่มน้ำขิงอย่างไรให้ปลอดภัย
น้ำขิงควรดื่มในช่วงเช้าหรือช่วงเที่ยง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายของเราสดชื่นและตื่นตัว
สามารถดื่มน้ำขิงได้ตลอดทั้งวัน อาจดื่มก่อนหรือ ดื่มน้ำขิงหลังอาหาร ได้ ยกเว้น ดื่มน้ำขิงก่อนนอน เพราะขิงมีสารคล้ายคาเฟอีนที่ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว อาจทำให้นอนไม่หลับจนพักผ่อนไม่เพียงพอได้
ไม่ควรต้มน้ำขิงทิ้งไว้นานหลายวัน เพราะจะทำให้ ประโยชน์ของน้ำขิง ลดลงได้
ควรดื่มน้ำขิงในปริมาณที่เหมาะสม หากดื่มเยอะเกินไปอาจก่อให้เกิดแผลร้อนใน หรือเกิดการอักเสบของเยื่อบุภายในช่องปากได้
4. สูตรน้ำขิงง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน
น้ำขิงสด
เมนูน้ำขิงสูตรเบสิกที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นเมนูอื่น ๆ ได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นเมนูน้ำขิงใบเตย เมนูน้ำขิงเลมอน หรือน้ำขิงหัวปลี เป็นต้น
วัตถุดิบ
1. ขิงสด 2 แง่ง
2. น้ำสะอาด ½ หม้อ
3. น้ำตาลทราย (ปริมาณสามารถเพิ่มได้ตามชอบ)
วิธีทำ
1. แช่ขิงสดก่อนประมาณ 5 นาที จากนั้นนำไปทำความสะอาด
2. ฝานขิงสดเป็นแผ่นบาง ๆ พักไว้ระหว่างรอน้ำเดือด
3. นำน้ำสะอาดไปต้มจนเดือด ก่อนใส่ขิงลงใปพร้อมน้ำตาลทราย
4. ต้มขิงสดที่ฝานไว้ประมาณ 10 นาที แล้วยกออก
5. พักน้ำขิงไว้สักพักเพื่อลดความร้อนก่อนนำไปดื่ม
น้ำขิงเลมอน
เมนูน้ำขิงเย็น ที่เพิ่มความสดชื่นด้วยการเติมน้ำเลมอน เหมาะกับอากาศร้อน ๆ ในประเทศไทย
วัตถุดิบ
1. น้ำขิงสด (ปริมาณสามารถเพิ่มได้ตามชอบ)
2. เลมอน 1 ลูก
3. น้ำเชื่อม (ปริมาณสามารถเพิ่มได้ตามชอบ)
4. น้ำแข็ง (ปริมาณสามารถเพิ่มได้ตามชอบ)
วิธีทำ
1. บีบน้ำเลมอน
2. ผสมน้ำขิงสด น้ำเชื่อม และน้ำเลมอนให้เข้ากัน
3. เติมน้ำแข็งใส่แก้วตามปริมาณที่ต้องการ เทน้ำขิงเลมอนที่ผสมเข้ากันแล้วลงไป ก่อนตกแต่งด้วยเลมอนฝานบาง ๆ หรือหากใครที่ต้องการเพิ่มความซ่าก็สามารถเติมโซดาลงไปได้
น้ำขิงธัญพืช
เมนูที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและโปรตีนจากธัญพืชชนิดต่าง ๆ แถมยังมีกลิ่นหอมจากลำไยแห้งและพุทราจีน ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการดื่ม หรือหากใครต้องการดื่มรองท้องระหว่างมื้ออาหาร ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
วัตถุดิบ
1. น้ำสะอาด 1,500 มิลลิลิตร
2. ขิงสด 70 กรัม
3. แปะก๊วย 150 กรัม
4. ลูกเดือย 130 กรัม
5. ถั่วแดง 135 กรัม
6. เก๋ากี้ 9 กรัม
7. พุทราจีน 170 กรัม
8. ลำไยอบแห้ง 50 กรัม
9. น้ำตาลทรายแดง (ปริมาณเติมได้ตามใจชอบ)
วิธีทำ
1. ต้มแปะก๊วย ลูกเดือย ถั่วแดง พุทราจีนให้สุกก่อนทำน้ำขิง
2.เทน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ใส่หม้อ ใส่ขิงที่ทุบให้พอแตกลงไป ก่อนนำไปต้มให้เดือด
3. หลังน้ำเดือดต้มต่อด้วยไฟกลาง 20 นาที จนน้ำขิงเป็นสีเหลืองอ่อน
4. ตักขิงออก ใส่เก๋ากี้ และน้ำตายทรายแดงลงไป รอจนน้ำเดือดอีกครั้งจากนั้นปิดไฟ พักทิ้งไว้สักพักจนน้ำขิงเย็น
5. นำถั่วแดง ลูกเดือย พุทราจีน ลำไยอบแห้ง และแปะก๊วยมาผสมกับน้ำขิง ก่อนตักเสิร์ฟ หรือหากใครต้องการเพิ่มความเย็นก็สามารถเติมน้ำแข็งลงไปได้เช่นเดียวกัน
น้ำขิงหัวปลี
วัตถุดิบ
1. หัวปลีสด 1 หัว
2. ขิงสด 200 กรัม
3. น้ำสะอาด 2 ลิตร
4. เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาล (ปริมาณเติมได้ตามใจชอบ)
วิธีทำ
1. นำหัวปลีสดมาแกะใบสีม่วงและเกสรออก จากนั้นนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก แช่ทิ้งไว้ด้วยน้ำผสมเกลือประมาณครึ่งชั่วโมง
2. นำขิงสดมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นแว่นและทุบให้แตกพอประมาณ
3. นำน้ำสะอาดมาต้มจนเดือด นำหัวปลีที่แช่ไว้ไปต้มประมาณ 25-30 นาที ก่อนใส่ขิงตามลงไป ต้มต่อสักพักแล้วปิดไฟ
4. กรองเอาหัวปลีและขิงออก จากนั้นนำน้ำขิงหัวปลีที่ได้ไปปรุงรสตามใจชอบ สำหรับคนที่กังวลเรื่องการใช้น้ำตาลอาจเปลี่ยนเป็นการใช้น้ำผึ้ง ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความหอมหวานแล้วยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายก็ได้เช่นเดียวกัน
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การกินขิงอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป และควรปรึกษาแพทย์ก่อนหากมีโรคประจำตัว หรือวางแผนเสริมความมั่นใจด้วย ประกันสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต #เพราะชีวิตทุกวัยมันเจ็บป่วย ป่วยเล็กป่วยใหญ่ ช่วงวัยไหนก็ป่วยได้ไม่ช็อตฟีล
ปล่อยจอยค่ารักษาเพราะมีประกันสุขภาพดูแลให้แบบเหมา ๆ ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท
✅ Elite Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 20-100 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการรักษา ดูแลให้ทั้ง IPD และ OPD(1) เบี้ยวันละไม่ถึง 157 บาท(2)
✅ D Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 5 ล้านบาท(3) นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานทุก รพ. เบี้ยวันละไม่ถึง 38 บาท(4)
✅ เหมาจ่าย Extra แอดมิตเข้า รพ. ดูแลค่ารักษาเหมาจ่าย 5 แสนบาท(5) เบี้ยวันละไม่ถึง 42 บาท(6)
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
(1) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 40, 75 หรือ 100 ล้านบาท
(2) สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุ 50 ปี แผน 20 ล้านบาท พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(3) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 5 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
(4) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท มีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาท ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (แผน Top Up ความคุ้มครอง) และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(5) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 3 โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
(6) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 3 และชำระเบี้ยประกันรายปี
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่
- ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
- เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด
- การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 27/10/67
🔖 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
🔖 ไทยรัฐ