รู้จักโรคอุจจาระร่วงให้มากขึ้น เพราะท้องเสียไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ!
ท้องเสียไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มีอาการที ก็อิดโรยจนแทบขยับตัวไม่ไหว ซึ่งท้องเสีย หรือชื่อเป็นทางการว่า โรคอุจจาระร่วง เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยมีอาการหลักคือ การถ่ายเหลว ทุกวัน หรือถ่ายเหลวบ่อยกว่า 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 วัน มีมูกเลือดปน อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องบิด ตรงกลาง เป็น ๆ หาย ๆ คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ อาการเบื้องต้นเหล่านี้ เชื่อว่าทุกคนที่เคยท้องเสีย น่าจะเคยเป็นกันมาก่อนแน่นอน แต่หากชะล่าใจปล่อยให้อาการหนักเกินไป ก็อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงมาทำความรู้จักโรคอุจจาระร่วงให้มากขึ้น เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กัน
1. สาเหตุโรคอุจจาระร่วง มักเกิดช่วงไหน
2. อาการโรคอุจจาระร่วงที่ต้องสังเกต
3. ภาวะแทรกซ้อนเมื่อโรคอุจจาระร่วงเข้าขั้นวิกฤติ
4. วิธีดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง
1. สาเหตุโรคอุจจาระร่วง มักเกิดช่วงไหน
โรคอุจจาระร่วง หรือ ท้องเสีย เกิดจากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเกิดจาก
- เชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซาลโมเนลลา เชื้ออีโคไล เชื้อคัมปิลอบแอกเตอร์ พบได้จากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อน
- เชื้อไวรัส เช่น โรต้าไวรัส โนโรไวรัส มักระบาดเป็นกลุ่ม และพบได้บ่อยในเด็กเล็ก
- ปรสิต เช่น พยาธิลำไส้ พบได้จากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อน
- อาหารเป็นพิษ ซึ่งการรับประทานอาหารที่บูดเสียหรือปรุงไม่สุก
- ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาระบาย
- โรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรคกระเพาะ
- ภาวะแพ้อาหาร การแพ้อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
- ความเครียด ความเครียดเรื้อรัง อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร และทำให้เกิดอาการท้องเสีย
โรคอุจจาระร่วงมักเกิดช่วงไหน
ส่วนช่วงที่มักเกิดโรคอุจจาระร่วง คนมักเข้าใจว่าส่วนมากจะพบช่วงหน้าร้อน แต่โรคอุจจาระร่วงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่มีปัจจัยบางอย่างที่อาจทำให้โรคนี้ระบาดได้ง่ายในช่วงเวลาหรือสถานการณ์บางอย่าง เช่น
- ช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนชื้น ทำให้อาหารบูดเสียได้ง่ายขึ้น และเชื้อโรคเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น จึงมีโอกาสเกิดโรคอาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้มากขึ้น
- ช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคโนโรไวรัส การระบาดของโรคเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับอาการท้องเสีย
- ช่วงที่มีการเดินทาง การเดินทางไปยังสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมไม่สะอาด หรือการรับประทานอาหารที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและอุจจาระร่วงได้
- ในกลุ่มเด็กเล็ก เด็กเล็กมีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง จึงมีโอกาสติดเชื้อและเกิดโรคอุจจาระร่วงได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงที่เข้าโรงเรียนอนุบาลหรือเข้าสังคมใหม่ ๆ
2. อาการโรคอุจจาระร่วงที่ต้องสังเกต
โรคอุจจาระร่วง หรือ ท้องเสีย นอกจากอาการถ่ายเหลวบ่อยแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ ที่ควรสังเกตอีกด้วย เพื่อประเมินความรุนแรงและหาสาเหตุของโรคได้อย่างถูกต้อง
อาการทั่วไปของโรคอุจจาระร่วง
- ถ่ายอุจจาระเหลวบ่อย อาจถ่ายเป็นน้ำ มีมูก หรือมีเลือดปน
- ปวดท้อง อาจเป็นแบบปวดเบ่ง หรือปวดทั่ว ๆ ไป
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ไข้
- อ่อนเพลีย
- กล้ามเนื้อเกร็ง
- ปวดหัว
อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด อาจบ่งบอกถึงการอักเสบในลำไส้ หรือมีแผลในลำไส้
- ถ่ายอุจจาระเป็นมูก อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือปรสิต
- มีไข้สูง อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง
- อาเจียนรุนแรง ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่าย
- ปวดท้องรุนแรง อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
- อ่อนเพลียมาก ร่างกายขาดน้ำและสารอาหาร
- ปัสสาวะน้อยลง เป็นสัญญาณของการขาดน้ำ
- ใจสั่น เหงื่อออกมาก อาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อกจากการขาดน้ำ
อาการอุจจาระร่วงแบบไหน ควรพบแพทย์โดยด่วน!
- หากมีอาการท้องเสียร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์
- ท้องเสียเรื้อรัง เกิน 2 สัปดาห์
- ท้องเสียและมีไข้สูง
- ท้องเสียและมีเลือดปน
- ท้องเสียรุนแรงจนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมาก
- ท้องเสียร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
- การสังเกตอาการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถรับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
3. ภาวะแทรกซ้อนเมื่อโรคอุจจาระร่วงเข้าขั้นวิกฤติ
เมื่อโรคอุจจาระร่วงรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หลายอย่าง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้
ภาวะขาดน้ำรุนแรง
การสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมากจากการถ่ายเหลวและอาเจียน ทำให้มีอาการ ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะน้อยลง ตาโหล ตาเหลือง เวียนหัว หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- ภาวะเลือดเป็นกรด เกิดจากการสูญเสียเกลือแร่ และการสะสมของกรดในร่างกาย
- ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ
- ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดจากเชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
- ภาวะไตวายเฉียบพลัน เกิดจากการที่ไตได้รับความเสียหาย จากการขาดน้ำและการติดเชื้อ
- ภาวะทุพโภชนาการ เกิดจากการสูญเสียสารอาหาร และการดูดซึมอาหารไม่ดี
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
- เด็กเล็ก มีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และสูญเสียน้ำได้เร็วกว่าผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุ มีระบบร่างกายเสื่อมสภาพ และอาจมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย
- ผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- หญิงตั้งครรภ์ การขาดน้ำอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
4. วิธีดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วง หรือ ท้องเสีย ถึงแม้จะเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่ก็สร้างความรำคาญและส่งผลต่อสุขภาพได้ หากดูแลตัวเองไม่ถูกวิธี การดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งมีวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น ดังนี้
- ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) การดื่มน้ำเกลือแร่จะช่วยทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการถ่ายเหลว ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายได้
- รับประทานอาหารอ่อน เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม กล้วยน้ำว้า แครอทต้ม หรือซุปใส เพื่อลดภาระในการทำงานของลำไส้
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น อาหารเผ็ด เปรี้ยว เค็ม จะกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกากใยสูง ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีกากใยสูง จะทำให้ลำไส้ทำงานหนักขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การออกกำลังกายหนัก จะทำให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อและเกลือแร่มากขึ้น
- ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
เมื่อท้องเสียจนอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที จะช่วยให้โรคอุจจาระร่วงหายเร็วขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะหากปล่อยไว้นาน อาจเพิ่มความเสี่ยงจนทำให้เสียชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น ค่ารักษาอาจบานปลาย แต่หากอยากเพิ่มความอุ่นใจ เจ็บป่วยตอนไหนก็มีตัวช่วยเรื่องค่ารักษา ก็สามารถวางแผนเสริมความมั่นใจด้วย ประกันสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต #เพราะชีวิตทุกวัยมันเจ็บป่วย ป่วยเล็กป่วยใหญ่ ช่วงวัยไหนก็ป่วยได้ไม่ช็อตฟีล
ปล่อยจอยค่ารักษาเพราะมีประกันสุขภาพดูแลให้แบบเหมา ๆ ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท
✅ Elite Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 20-100 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการรักษา ดูแลให้ทั้ง IPD และ OPD(1) เบี้ยวันละไม่ถึง 157 บาท(2)
✅ D Health Plus คุ้มครองค่ารักษา 5 ล้านบาท(3) นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานทุก รพ. เบี้ยวันละไม่ถึง 38 บาท(4)
✅ เหมาจ่าย Extra แอดมิตเข้า รพ. ดูแลค่ารักษาเหมาจ่าย 5 แสนบาท(5) เบี้ยวันละไม่ถึง 42 บาท(6)
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
(1) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 40, 75 หรือ 100 ล้านบาท
(2) สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุ 50 ปี แผน 20 ล้านบาท พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(3) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 5 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
(4) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท มีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาท ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (แผน Top Up ความคุ้มครอง) และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
(5) กรณีเลือกความคุ้มครองแผน 3 โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
(6) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 34 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 3 และชำระเบี้ยประกันรายปี
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่
- ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
- เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด
- การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 30/10/67
🔖 โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์