มะละกอเลิฟเวอร์ห้ามพลาด! ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ประโยชน์เพียบเกินคาด
"มะละกอ" ผลไม้มากคุณค่าที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะรับประทานสุกเป็นของหวานชื่นใจ หรือนำไปปรุงรสในส้มตำรสแซ่บถึงเครื่อง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าภายใต้รสชาติหวานอร่อยนั้น มะละกอได้ซุกซ่อนประโยชน์ต่อสุขภาพไว้มากมายเกินกว่าที่เราคิด? เราจึงไม่พลาดที่จะพาคุณไปดูประโยชน์ของมะละกอ ไปจนถึงโทษของมะละกอ มะละกอกินตอนไหนดี ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด รวมถึงเจาะลึก ประโยชน์ของมะละกอสุกต่อผิวพรรณ และเปิดเผย สารอาหาร สำคัญที่อัดแน่นอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ เพื่อให้คุณได้รู้จักและรักมะละกอมากยิ่งขึ้น!
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. มะละกอสุก ประโยชน์และโทษที่ควรรู้
2. มะละกอดิบ มีดีที่เอนไซม์ แต่ต้องรู้ข้อควรระวัง!
3. มะละกอกินตอนไหนดี ได้ประโยชน์สูงสุด?
1. มะละกอสุก ประโยชน์และโทษที่ควรรู้
มะละกอ... ผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะในรูปแบบของผลไม้รสหวานฉ่ำชื่นใจ หรือจะอยู่ในเมนูยอดฮิตอย่างส้มตำรสจัดจ้าน แต่เคยสงสัยกันไหมว่า มะละกอสุกนั้น มีประโยชน์อย่างไรบ้าง? ซึ่งมะละกอสุกจะโดดเด่นด้วยรสชาติหวานหอม เนื้อนุ่มละมุนลิ้น กินง่าย และยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายที่เราไม่ควรมองข้าม
1. ตัวช่วยระบบย่อยอาหาร ในมะละกอสุกมีเอนไซม์ธรรมชาติที่ชื่อว่า ปาเปน (Papain) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อยหลังมื้ออาหารหนัก ๆ ได้เป็นอย่างดี ใครที่มักมีปัญหาเรื่องท้องไส้ ลองกินมะละกอสุกหลังอาหารดู รับรองว่าจะรู้สึกสบายท้องขึ้นเยอะเลย
2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง มะละกอสุกเป็นแหล่งของ วิตามินซี ที่สูงมาก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายของเราต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกินมะละกอสุกเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นหวัดและโรคติดเชื้ออื่น ๆ ได้
3. บำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง นอกจากวิตามินซีแล้ว มะละกอสุกยังมี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้ดูสุขภาพดี สดใส เปล่งปลั่ง ลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย และช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ใครอยากมีผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก ลองกินมะละกอสุกเป็นประจำได้นะ
4. ดีต่อสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ในมะละกอสุกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และยังมีสาร ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในบริเวณจอประสาทตา สารเหล่านี้มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม และช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้นด้วย
5. ช่วยต้านการอักเสบในร่างกาย มะละกอสุกอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคข้ออักเสบ และโรคมะเร็ง การกินมะละกอสุกจึงอาจมีส่วนช่วยในการป้องกัน และบรรเทาอาการของโรคเหล่านี้ได้
6. เป็นแหล่งของใยอาหารที่ดี มะละกอสุกมีใยอาหารสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ช่วยให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ป้องกันอาการท้องผูก และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย
7. อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แม้ว่ามะละกอสุกจะมีรสชาติหวาน แต่ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index - GI) อยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลง ช่วยลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ป่วยเบาหวานก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์
8. มีโพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิต มะละกอสุกมีแร่ธาตุโพแทสเซียม ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ
ข้อควรระวังในการกินมะละกอสุก
- ปริมาณน้ำตาล มะละกอสุกมีน้ำตาลตามธรรมชาติ ดังนั้นผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ
- อาการแพ้ บางคนอาจมีอาการแพ้มะละกอ เช่น มีผื่นคัน ลมพิษ หรืออาการแพ้อื่น ๆ หากมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการกินมะละกอ
- ฤทธิ์เป็นยาระบาย การกินมะละกอสุกในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบขับถ่ายไวต่อใยอาหาร
2. มะละกอดิบ มีดีที่เอนไซม์ แต่ต้องรู้ข้อควรระวัง!
หลายคนคุ้นเคยกับมะละกอดิบในฐานะส่วนประกอบสำคัญของส้มตำรสแซ่บ ที่ช่วยเพิ่มความกรุบกรอบและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่รู้หรือไม่ว่ามะละกอดิบนั้น ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยในการปรุงอาหารเท่านั้น ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าสนใจซ่อนอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อควรระวังที่เราไม่ควรมองข้ามเช่นกัน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. เอนไซม์ปาเปนสูง ตัวช่วยย่อยอาหาร
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของมะละกอดิบคือปริมาณ เอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่สูงกว่าในมะละกอสุกมาก เอนไซม์ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายของเราสามารถดูดซึมสารอาหารจากโปรตีนได้ดียิ่งขึ้น ใครที่มีปัญหาเรื่องอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ การกินมะละกอดิบ (ในปริมาณที่เหมาะสม) อาจช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ ด้วยคุณสมบัตินี้ มะละกอดิบจึงถูกนำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ เพื่อช่วยให้เนื้อนุ่มและเปื่อยง่ายขึ้น
2. แหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ
ถึงแม้จะไม่เด่นเท่ามะละกอสุก แต่ในมะละกอดิบก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่บ้าง เช่น วิตามินซี วิตามินเอ (ในรูปของเบต้าแคโรทีน) และโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
3. ใยอาหารสูง
เช่นเดียวกับผลไม้และผักดิบชนิดอื่น ๆ มะละกอดิบก็มีใยอาหารสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ ลดอาการท้องผูก และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดได้
มะละกอดิบ กับโทษที่คุณต้องรู้
ถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่การบริโภคมะละกอดิบก็มีข้อควรระวังและโทษที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของเรา
1. ยางมะละกอ ตัวการระคายเคือง
ในเนื้อมะละกอดิบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของยาง จะมี ยางมะละกอ (Latex) ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อเมือกอย่างมาก หากสัมผัสโดยตรงอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นคัน แสบร้อน หรือบวมแดงได้ ดังนั้น ในการเตรียมมะละกอดิบเพื่อประกอบอาหาร ควรระมัดระวังไม่ให้ยางสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง และควรล้างมะละกอดิบให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร
2. สารไซยาไนด์ในเมล็ดและเนื้อดิบ (ปริมาณน้อย แต่ควรระวัง)
ในเมล็ดและเนื้อมะละกอดิบจะมีสาร ไซยาไนด์ (Cyanide) ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งเป็นสารพิษ หากบริโภคในปริมาณมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม การบริโภคมะละกอดิบในปริมาณที่ใช้ในการปรุงอาหารทั่วไป เช่น ในส้มตำ มักจะมีปริมาณไซยาไนด์ไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอันตราย แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดมะละกอดิบโดยเด็ดขาด
3. อาจทำให้แท้งบุตรในสตรีมีครรภ์
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดสำหรับสตรีมีครรภ์คือ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคมะละกอดิบในปริมาณมาก เนื่องจากมีรายงานว่าสารบางชนิดในมะละกอดิบ โดยเฉพาะเอนไซม์ปาเปน อาจมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการกินมะละกอดิบ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค
4. อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางบุคคล
เช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่น ๆ บางคนอาจมีอาการแพ้มะละกอดิบได้ โดยอาจมีอาการผื่นคัน บวม หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หากเคยมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคมะละกอดิบ
วิธีบริโภคมะละกอดิบอย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์
- ล้างให้สะอาด ก่อนนำมะละกอดิบมาปรุงอาหาร ควรล้างให้สะอาดเพื่อกำจัดยางและสิ่งสกปรก
- ปอกเปลือกและขูด ปอกเปลือกและขูดหรือสับเนื้อมะละกอดิบตามต้องการ ระมัดระวังไม่ให้ยางสัมผัสผิวหนังโดยตรง
- ปรุงรสให้เหมาะสม โดยทั่วไปมะละกอดิบจะนำมาปรุงรสชาติให้จัดจ้าน เช่น ในส้มตำ เพื่อให้กินได้ง่ายและอร่อย
- กินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรกินมะละกอดิบในปริมาณมากเกินไป
- สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการกินมะละกอดิบในปริมาณมาก หรื
- ปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค
- สังเกตอาการแพ้ หากมีอาการผิดปกติหลังทานมะละกอดิบ ควรหยุดบริโภคและปรึกษาแพทย์
3. มะละกอกินตอนไหนดี ได้ประโยชน์สูงสุด?
ริง ๆ แล้ว ไม่มีช่วงเวลาที่ "ดีที่สุด" แบบตายตัวสำหรับการกินมะละกอ เพราะร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และความเหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพร่างกาย กิจกรรมในแต่ละวัน และความชอบส่วนตัว แต่ก็ยังมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกินมะละกอ ที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์เหล่านี้อย่างเต็มที่
- หลังมื้ออาหาร การกินมะละกอสุกหลังมื้ออาหาร โดยเฉพาะมื้อที่มีโปรตีนสูง จะช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่มีอยู่ในมะละกอ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น นอกจากนี้ รสชาติหวานของมะละกอยังช่วยล้างปากและดับกระหายได้อีกด้วย
- ระหว่างมื้ออาหาร (เป็นของว่าง) หากรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร การเลือกกินมะละกอสุกเป็นของว่างก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะมะละกอมีแคลอรี่ต่ำ มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ และยังได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกด้วย
- ตอนเช้า (สำหรับบางคน) สำหรับบางคน การกินผลไม้ในช่วงเช้าอาจช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ดี เนื่องจากมีใยอาหารและน้ำตาลตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายตัวเอง หากกินแล้วรู้สึกสบายท้องและไม่อึดอัด ก็สามารถกินมะละกอสุกในตอนเช้าได้
- ก่อนออกกำลังกาย (เล็กน้อย) การกินมะละกอสุกในปริมาณเล็กน้อยก่อนออกกำลังกาย อาจช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากน้ำตาลธรรมชาติ และวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่ควรกินในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป เพื่อไม่ให้รู้สึกจุกเสียดขณะออกกำลังกาย
ข้อควรระวังและช่วงเวลาที่ไม่แนะนำในการกินมะละกอ (โดยเฉพาะมะละกอสุก)
- ก่อนนอนทันที การกินผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงก่อนนอนทันที อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และร่างกายอาจไม่ได้นำพลังงานไปใช้มากนัก นอกจากนี้ อาจทำให้รู้สึกอึดอัดท้องได้
- ขณะท้องว่าง (สำหรับบางคน) ถึงแม้ว่าผลไม้จะมีประโยชน์ แต่สำหรับบางคนที่มีระบบย่อยอาหารที่ sensitive การกินผลไม้ที่มีความเป็นกรดหรือมีน้ำตาลสูงขณะท้องว่าง อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง เช่น ท้องอืด ท้องเสีย หรือแสบร้อนได้ ควรสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายตัวเอง หากกินมะละกอสุกขณะท้องว่างแล้วไม่มีปัญหา ก็สามารถกินได้ แต่ถ้ามีอาการ ควรหลีกเลี่ยง
- ปริมาณที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน การกินมะละกอในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้ เช่น ท้องเสีย (โดยเฉพาะมะละกอสุกที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ) หรือได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่
- เสาวรส ผลไม้เปรี้ยวจี๊ด ประโยชน์ดีต่อสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้
- ประโยชน์ของมะม่วงดิบ และสุก กินอย่างไรให้ได้คุณค่า ไม่เพิ่มพุง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการกินในปริมาณที่เหมาะสมและหลากหลาย หากมีข้อสงสัยหรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง เพื่อให้เราได้รับประโยชน์จากมะละกออย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ที่สำคัญควรเริ่มเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ และค่ารักษาไว้ล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตโรคร้ายจะมาเยือนตอนไหน สามารถเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต/ ช่องทางที่ดูแลท่าน
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 08/05/68
🔖 HDMall
🔖 POBPAD