รู้ก่อนยื่น! e-tax invoice ลดหย่อนภาษี 2568 ใช้ยังไง ลดเท่าไหร่ มาดูกัน!
การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ที่สำคัญของคนไทยทุกคน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการทำตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการสนับสนุนการบริการสาธารณะต่าง ๆ ให้พัฒนาไปในทางที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีที่รัฐกำหนด เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายภาษีในกรณีต่าง ๆ อย่างมาตรการ “EASY E-Receipt” ที่เปิดให้ทุกคนได้ใช้จ่ายกับสินค้าและบริการแล้วนำ e-tax invoice ลดหย่อนภาษี 2568 ได้อีกด้วย สำหรับใครที่อยากรู้ว่า ลดหย่อนยังไง ได้เท่าไหร่ และร้านไหนบ้าง บทความนี้มีคำตอบ
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. e-Tax invoice และ e-Receipt คืออะไร?
2. e-Tax Invoice ลดหย่อนได้เท่าไหร่
3. ตัวอย่างการใช้สิทธิ์ลดหย่อนด้วย e-Tax Invoice และ e-Receipt
4. สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วมมาตรการลดหย่อนภาษี
1. E-Tax invoice และ E-Receipt คืออะไร?
E-Tax Invoice คือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และ e-Receipt คือ ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 2 สิ่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดหย่อนภาษี 2568 “EASY E-Receipt” นั่นเอง
ผู้ที่ต้องการเข้าร่วม จะต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการนี้ และได้รับ e-Tax Invoice และ e-Receipt ที่ออกโดยร้านค้าดังกล่าว และมีชื่อ, ข้อมูลของผู้ซื้ออย่างถูกต้อง มาใช้เป็นหลักฐานในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีนั่นเอง
และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ e-Tax Invoice ลดหย่อนภาษี ในปี 2568 นี้ สามารถซื้อสินค้าและบริการในประเทศ กับร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ ได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยรายละเอียดการลดหย่อนจะอธิบายในส่วนต่อไป
ขอ e-Tax invoice และ e-Receipt ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง?
หากคุณเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการของร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการนี้ แล้วต้องการขอ e-Tax Invoice และ e-Receipt ก็สามารถแจ้งความประสงค์กับทางร้านได้โดยตรงว่าจะขอรับเอกสาร e-Tax Invoice เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี จากนั้น ทางร้านจะขอหลักฐานจำเป็น เพื่อใช้ในการออกเอกสาร ดังต่อไปนี้
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ซื้อสินค้าและบริการ (ระบุที่อยู่ปัจจุบันหรือที่อยู่ตามบัตรก็ได้)
- ใบเสร็จรับเงินที่ซื้อสินค้าและบริการของร้านที่ออกใบ e-Tax Invoice
เมื่อได้รับ e-Tax Invoice และ e-Receipt เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนออกจากร้าน หากพบจุดผิดพลาดสามารถแจ้งให้ทางร้านแก้ไขได้ทันที แนะนำว่าให้ตรวจสอบทันที เพราะบางร้านจะสามารถออกเอกสารได้เฉพาะวันที่มาใช้จ่ายเท่านั้น หากพ้นวันนั้นไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้ และเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนไปได้
2. e-Tax Invoice ลดหย่อนได้เท่าไหร่
ในส่วนของสิทธิประโยชน์ e-tax ลดหย่อนภาษี ผู้ที่ใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ที่เข้าร่วม สามารถนำ e-tax Invoice มาใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท/ปี (รวม VAT-ภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้ว) โดยวงเงินลดหย่อนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
2.1 ร้านค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
วงเงินลดหย่อน สูงสุด 30,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการกับ ร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทางร้านจะออก e-tax Invoice ให้ตามความประสงค์ของลูกค้า
2.2 ร้านค้าและบริการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
สินค้าหรือบริการที่ไม่ได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (Non-VAT) ลูกค้าสามารถแจ้งขอรับ e-Receipt จากทางร้านได้ แต่จะมีเพียงบางรายการที่เข้าร่วมมาตรการ แนะนำให้สอบถามข้อมูลกับทางร้านให้แน่ชัดก่อน เพราะบางรายการก็จะไม่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนได้
2.3 สินค้าและบริการจากกลุ่ม OTOP หรือวิสาหกิจชุมชน
วงเงินลดหย่อน สูงสุด 20,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP), โครงการวิสาหกิจชุมชน ที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยคุณสามารถขอ e-Tax Invoice และ e-Receipt จากร้านดังกล่าว เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานในการขอลดหย่อนภาษีได้
จะเห็นได้ว่า หลังจากที่เริ่มต้นมาตรการ “EASY E-Receipt” ลดหย่อนภาษี 2568 ก็มีร้านค้าจำนวนมากที่ประกาศว่าเข้าร่วมมาตรการนี้ และเชิญชวนให้คนมาซื้อสินค้าและบริการกัน หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังมองหาว่า e-tax ลดหย่อนภาษี ร้านไหนบ้าง เพื่อต้องการใช้จ่ายและใช้สิทธิ์ลดหย่อนให้คุ้ม สามารถเลือกซื้อสินค้าจากร้านเหล่านี้ได้เลย
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี
3. ตัวอย่างการใช้สิทธิ์ลดหย่อนด้วย e-Tax Invoice และ e-Receipt
ใครที่กำลังสับสนว่าการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี e-tax คิดยังไง แอดลองนำกรณีตัวอย่างมาเล่าให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ลองดูตัวอย่างแล้วเทียบเคียงกับกรณีของคุณได้เลย
ตัวอย่างที่ 1
ซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าทั่วไปที่เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 18,000 บาท จะสามารถนำ e-Tax Invoice มาใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ 18,000 บาท เป็นจำนวนที่ยังไม่เกินวงเงินลดหย่อนกรณีแรก
ตัวอย่างที่ 2
ซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าทั่วไป 35,000 บาท พร้อมกับสินค้า OTOP 10,000 บาท (รวม 45,000 บาท) จะสามารถลดหย่อนส่วนของวงเงินกรณีแรกได้ 30,000 บาท เป็นจำนวนสูงสุดของวงเงินนี้ และกรณีวงเงิน OTOP อีก 10,000 บาท (รวม 40,000 บาท)
ตัวอย่างที่ 3
ซื้อสินค้า OTOP และ/หรือสินค้าในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, สังคม เป็นจำนวน 30,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ 20,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดของวงเงินนี้
ตัวอย่างที่ 4
ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าทั่วไปที่เข้าร่วมมาตรการ เป็นจำนวน 40,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ 30,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดของวงเงินนี้
4. สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วมมาตรการลดหย่อนภาษี
ก่อนที่จะไปใช้จ่ายเพื่อขอใบ e-Tax Invoice มาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี อย่าลืมเช็กก่อนว่าสินค้านั้น ๆ ได้เข้าร่วมมาตรการหรือ แม้บางร้านค้าจะเข้าร่วมมาตรการ แต่ถ้าซื้อสินค้าที่ไม่เข้าร่วม ก็จะเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนไปได้
- สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มมึนเมา สุรา, ไวน์
- สินค้ากลุ่มบุหรี่และยาสูบ
- ค่าเชื้อเพลิงต่าง ๆ เช่น น้ำมัน, ก๊าซ หรือบริการไฟฟ้าสำหรับเครื่องยนต์
- สินค้ากลุ่มยานพาหนะ รถยนต์, รถจักรยานยนต์ และเรือ
- ค่าบริการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า, ประปา
- ค่าบริการโทรศัพท์และสัญญาณอินเตอร์เน็ต
- ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยต่าง ๆ
- ค่าบริการท่องเที่ยว ค่าที่พักเมื่อไปท่องเที่ยว
- ค่าสินค้าและบริการที่ทำรายการนอกเหนือจากช่วงเวลาที่กำหนด (16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568)
การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีด้วย e-Tax Invoice เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถลดภาระการจ่ายภาษี และช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ในทางอ้อม ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวคุณเอง การทำความเข้าใจในสิทธิ์เหล่านี้และใช้ประโยชน์จากมันอย่างถูกต้อง จึงควรทำความเข้าใจและหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
อีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับคนที่อยากวางแผนสร้างความมั่นคงให้ชีวิต พร้อมใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี กับแผนความคุ้มครองดี ๆ ประกันชีวิต และประกันสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต ดูแลชีวิตและช่วยเพิ่มความอุ่นใจ ให้คุณสนุกกับชีวิตได้มากขึ้น
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 11/02/68