ไข้หวัดใหญ่ ทำไมเป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมวิธีป้องกัน
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งจากสถิติไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ปี 2566 กรมควบคุมโรคพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 480,000 ราย เสียชีวิต 29 ราย และต้นปี 2567 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ 2567 พบผู้ป่วย 63,648 ราย เสียชีวิต 3 ราย ซึ่งสูงกว่าการระบาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ไข้หวัดใหญ่ในเด็กผู้ปกครองก็ต้องคอยระวังเหมือนกัน ที่สำคัญไข้หวัดใหญ่ยังทำให้เราป่วยซ้ำ ๆ ได้หลายครั้งในหนึ่งปี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? มาไขข้อข้องใจกันเลย
ยาวไปเลือกอ่านตามหัวข้อได้นะ
1. ไข้หวัดใหญ่ สาเหตุที่ทำให้คุณป่วย
2. ทำไมไข้หวัดใหญ่ถึงทำให้ป่วยบ่อย?
1. ไข้หวัดใหญ่ สาเหตุที่ทำให้คุณป่วย
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) โดยไวรัสชนิดนี้จะเข้าทำลายระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น จมูก คอ และปอด ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ไข้ ไอ จาม เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลีย
สาเหตุของไข้หวัดใหญ่
- การติดเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ติดต่อจากคนสู่คนได้ง่าย โดยผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการพูดคุยของผู้ป่วย เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายอยู่ในอากาศ และเมื่อคนอื่นสูดเข้าไปก็จะติดเชื้อได้
- การสัมผัสสิ่งของปนเปื้อน เชื้อไวรัสยังสามารถเกาะอยู่บนพื้นผิวของสิ่งของต่าง ๆ เช่น มือจับประตู โต๊ะ โทรศัพท์ เมื่อเราสัมผัสสิ่งของเหล่านี้แล้วนำมือมาสัมผัสดวงตา จมูก หรือปาก ก็อาจติดเชื้อได้
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่?
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีปัจจัยเสี่ยงบางประการ การระบุกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้เราสามารถป้องกันตัวเอง และผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เด็กเล็ก เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักมีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาการรุนแรงได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยากขึ้น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
- หญิงตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาการรุนแรงได้มากขึ้น
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคมะเร็ง หรือผู้ที่ใช้ยาที่ก
- ภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่
- ผู้ที่อาศัยหรือทำงานในสถานที่แออัด เช่น โรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล หรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก
- ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่โดยตรง ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ
2. ทำไมไข้หวัดใหญ่ถึงทำให้ป่วยบ่อย?
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาก และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราป่วยซ้ำได้บ่อย ๆ แม้ว่าจะเคยป่วยมาแล้วก็ตาม ซึ่งเหตุผลที่ไข้หวัดใหญ่ทำให้ป่วยบ่อยมีดังนี้
- ไวรัสกลายพันธุ์บ่อย เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้วัคซีนที่ผลิตขึ้นในปีหนึ่ง อาจไม่ได้ผลดีในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในปีถัดไป
- ภูมิคุ้มกันจำเพาะ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสชนิดอื่นได้ แม้จะเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกัน
- การแพร่ระบาด ไข้หวัดใหญ่มักมีการระบาดเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อไวรัสได้ง่าย
- ปัจจัยเสี่ยง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว จะมีโอกาสป่วยซ้ำได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
ทำไมถึงป่วยไข้หวัดใหญ่ซ้ำได้เร็ว?
- ระยะเวลาการสร้างภูมิคุ้มกัน หลังจากที่หายจากโรคไข้หวัดใหญ่ ร่างกายจะใช้เวลาในการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
- เชื้อไวรัสปริมาณมาก หากได้รับเชื้อไวรัสในปริมาณมาก อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานได้ทัน และเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
- การสัมผัสซ้ำ การสัมผัสกับเชื้อไวรัสซ้ำ ๆ ในระยะเวลาอันสั้น อาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้
วิธีป้องกันไม่ให้ป่วยไข้หวัดใหญ่ซ้ำ
- ฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด แม้ว่าวัคซีนจะไม่ได้ป้องกันได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
- ดูแลสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น
3. อาการของไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสอินฟลูเอนซา ทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ อาการของไข้หวัดใหญ่มักจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1-4 วันหลังจากได้รับเชื้อ และมักจะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ แต่ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งอาการของไข้หวัดใหญ่ที่พบบ่อย มีดังนี้
- ไข้สูง เป็นอาการเด่นชัดของไข้หวัดใหญ่ โดยอุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ขา หลัง
- ปวดหัว ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- ไอแห้ง ๆ ไอที่ไม่ค่อยมีเสมหะ
- เจ็บคอ คอแดงและรู้สึกเจ็บเวลากลืน
- อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรง เบื่ออาหาร
- รู้สึกหนาวสั่น แม้จะอยู่ในที่อากาศอบอุ่น
- คัดจมูก มีน้ำมูกไหล
- รู้สึกปวดเมื่อยตามข้อต่อต่าง ๆ
และอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กท้องเสีย พบได้น้อยกว่าอาการอื่น ๆ หายใจลำบาก อาการนี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้สูงอายุ แต่หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
- มีไข้สูงนานเกิน 2-3 วัน
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
- เจ็บหน้าอก
- ปวดศีรษะรุนแรง
- สับสน งงงวย
- อาเจียนรุนแรง หรือท้องเสียรุนแรง
- อาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงเรื่อย ๆ
4. วิธีรักษาไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การรักษาที่บ้าน
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีพลังในการต่อสู้กับเชื้อโรค
- ดื่มน้ำให้มาก การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ช่วยลดไข้ และช่วยให้ขับเสมหะได้ดีขึ้น
- รับประทานอาหารอ่อน เลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ซุป เพื่อลดภาระของระบบทางเดินอาหาร
- ใช้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ (พาราเซตามอล เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย) ยาแก้ไอ ช่วยลดอาการไอ
- ยาลดน้ำมูก ยาแก้เจ็บคอ (ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกชนิด)
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ ช่วยลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย
- ทำความสะอาดจมูก ช่วยลดการอุดตันของจมูก
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้อาการแย่ลง
การรักษาด้วยยา
- ยาต้านไวรัส แพทย์อาจจ่ายยาต้านไวรัสให้ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน หรือผู้ที่ได้รับย
- ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ
- ยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะใช้รักษาเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่
ทั้งนี้สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับไข้หวัดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีลดไข้ เร็วที่สุด สามารถทำเองได้ง่าย ๆ
อาการของไข้หวัดใหญ่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการรุนแรงกว่าคนอื่น ๆ หากคุณสงสัยว่าตนเองเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ที่สำคัญไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่ป้องกันได้ยาก เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา การป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน และดูแลสุขอนามัยของแต่ละคน และนอกจากจะป้องกันโรคด้วยตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมเตรียมความพร้อมเรื่องค่ารักษายามเจ็บป่วย ด้วยประกันสุขภาพไว้ช่วยดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 2 แสน - 100 ล้านบาท จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
☑️ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต
- โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย
ที่มา : สืบค้นเมื่อวันที่ 22/01/68
🔖posttoday
🔖กรมควบคุมโรค
🔖โรงพยาบาลเปาโล